ทำความรู้จักครอบครัว Seiko Monster : ถึงคิว The Fang

0

หลังจากตอนที่แล้วเราได้คุยกันถึงที่มาของนาฬิกาในซีรีส์ Monster ของ Seiko พร้อมกับการแนะนำให้รู้จักกับรุ่นแรกที่เปิดตัวออกสู่ตลาด พร้อมกับบรรดา Limited Edition ที่ถูกเปิดตัวออกมาตลอดช่วงปี 2000-2012 ในวันนี้เรามาทำความรู้จักครอบครัว Seiko Monster กันต่อ กับตอนที่ 2 ซึ่งจะมาถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน

ทำความรู้จักครอบครัว Seiko Monster : ถึงคิว The Fang
ทำความรู้จักครอบครัว Seiko Monster : ถึงคิว The Fang

ทำความรู้จักครอบครัว Seiko Monster (2)

- Advertisement -

ในปี 2013 เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ขึ้นกับนาฬิกาในตระกูลนี้ เมื่อทาง Seiko เปิดตัวโฉมใหม่ที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ออกมาพร้อมกับใช้ชื่อว่า The Fang ต่อท้ายกันหมายถึงรูปทรงของหลักชั่วโมงที่ดูแล้วเป็นทรงสามเหลี่ยมสูงเหมือนกับเขี้ยว

2013-ปัจจุบัน

Seiko Monster The Fang

Monster The Fang เป็นทายาทผู้สืบทอดตำนานเจ้าอสูรรุ่นล่าสุด ที่พลิกโฉมใหม่เล็กน้อย มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ รูปลักษณ์ภาย นอกที่ยังเก็บรักษาขอบเรือนเซาะร่องข้างที่บังคับให้หมุนทวนเข็มได้ทิศทางเดียว ใช้แสดงระยะเวลาในการดำน้ำ (โดยหมุนขอบเรือนตรงลูกศรปรับไปที่เข็มนาทีก่อนดำน้ำ) ยกเว้นเม็ดมะยมออกแบบใหม่ให้ง่ายต่อการปรับตั้งเวลา ขีดเครื่องหมายที่เปลี่ยนจากแท่งมาป็นรูปเขี้ยวสามเหลี่ยมเคลือบสารเรืองแสง Lumibrite ส่องสว่างให้อ่านค่าชัดเจนในที่มืด น้ำหนักตัวเรือนระหว่างรุ่นใหม่กับรุ่น เก่าไม่ต่างกัน ให้ความรู้สึกที่หนักแน่นแมนๆ เช่นเดิม รุ่นสายเหล็กกล้าไร้สนิมที่มีข้อล็อกแบบ Double Lock ที่ปรับขยายสายให้เข้าชุดดำน้ำ โดยไม่ต้องเพิ่มข้อสายให้เสียเวลาดำดิ่ง ส่วนตัวเรือนสเตนเลสสตีลที่นอกจากจะโชว์ความวาวของเนื้อโลหะกันสนิมแล้ว ยัง มีรุ่นตัวเรือนและสายสตีลเคลือบดำเข้มรับกับโทนสีหน้าปัดสมเป็นจักรกลสปอร์ตสายพันธุ์ดุ

สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกจุดคือ การหันมาใช้กลไก Cal.4R36 กลไกออโตเมติกที่พัฒนาจาก 7S เครื่องฐานเดิมที่เคยใช้งานใน Monster โดยได้ปรับประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มแต่งฟังก์ชันให้ทำงานดีขึ้น ทั้ง 7S และ 4R เป็นกลไกออโตเมติกที่มีความคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับราคา เนื่องจากเครื่องตระกูลนี้คำนวณออกแบบมาเป็นอย่างดี สามารถทนแรงกระแทกได้ในระดับหนึ่ง จึงทนทานต่อการใช้งานสมบุกสมบันได้ เหมาะที่เป็นหัวใจกลไกในนาฬิกาดำน้ำ

ในเครื่อง 4R ได้เพิ่มทับทิมกันสึกหรอเป็น 24 เม็ด (ทับทิมใน Monster รุ่นก่อนใช้ทับทิมกันสึก 21-23 เม็ด) ช่วยลดการสึกหรอของกลไกในการทำงาน นอกจากนี้เสริมฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใหม่ คือ การขึ้นลานเพิ่มด้วยการไขลานเม็ดมะยมได้ มาพร้อมกับ Second Hand Halt หรือ Second Hacking ส่วนใหญ่ติดตั้งอยู่ในนาฬิกาสวิสชั้นสูง ทำหน้าที่แฮ๊คเฟืองขับเข็มวินาทีให้หยุดการทำงาน เพื่อปรับตั้งเวลาได้อย่างถูกต้องในหน่วยวินาที

แรกเริ่มของการเปิดตัวมีจำหน่ายด้วยกัน 5 รุ่นคือ ดำ-ส้มในรหัส SRP307K1 และ SRP309K1 ตามลำดับ ตัวเขี้ยวแดง หรือ Dracula ในรหัส SRP313K1 ตัวหน้าส้มขอบดำ ในรหัส SRP315K1 และตัวรมดำสายเหล็ก หน้าส้ม SRP311K1

สถานการณ์ในปัจจุบัน : ในตอนนี้เรายังสามารถหา Monster The fang ได้ตามตลาดทั้งมือ 1 หรือ 2 โดยรุ่นที่หายากสุดคือ SRP307K1 หรือตัวหน้าดำ ซึ่งในปัจจุบันแทบจะไม่มีให้เห็นเลย หรือถ้ามีก็จะเป็นราคาที่แพงชนิดเท่ากับราคาขายตามเคาน์เตอร์แบบแทบไม่หักส่วนลดเลย

Seiko SRP518K1&SRP583K1

นอกจากรุ่นธรรมดาแล้ว ทาง Seiko ยังเปิดตัวรุ่นใหม่ๆ ของ The Fang ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่ได้เน้นกลยุทธ์แบบลิมิเต็ด เอดิชั่นเหมือนกับ Monster รุ่นแรกๆ โดยที่มีการเปิดตีวออกมาคือ SRP518K1 หรือ Sea Monster ที่มากับตัวเรือนสีดำตัดกับขอบ Bezel สีน้ำเงิน และอีกรุ่นคือ Ion Monster ในรหัส SRP583K1 ที่มาในแบบดำทอง ซึ่งทั้ง 2 รุ่นใช้กลไก 4R36 เหมือนกับ The Fang รุ่นปกติ

สถานการณ์ปัจจุบัน : ยังพอหาได้ทั้งมือ 1 และ 2 ในระดับราคาที่ไม่สูงมาก ซึ่งมือสองส่วนใกญ่เท่าที่พบจะอยู่ในราคา 7 พันปลายๆ ไปจนถึง 8 พันต้นกลางๆ ขึ้นอยู่กับสภาพและความครบของอุปกรณ์

The Sun& The Moon

Seiko SRP459K1 &Seiko SRP457K1

ลิมิเต็ด เอดิชั่นที่ถูกส่งออกมาเรียกความสนใจของบรรดาแฟนๆ Monster ซึ่งเรือน The Moon มีการผลิตออกมา 1,313 เรือน ขณะที่ The Sun ออกแบบโดย Akira Sakairi มีจำหน่ายด้วยกัน 2,323 เรือน และทั้งคู่ถูกส่งออกมาจำหน่ายในวาระของการฉลองครบรอบ 10 ปีในการทำตลาดของ Monster

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นธรรมดาแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การมากับลตัวเรือนและสายเหล็กแบบรมดำ บนหน้าปัดมีโลโก้พระอาทิตย์ และพระจันทร์เสี้ยว โดยที่ตัวเลขบน Bezel จะมีสีสอดคล้องกับหน้าปัดของเวอร์ชันนั้นๆ เช่น ถ้าเป็น The Sun ก็สีแดง และเป็นสีเหลืองสำหรับ The Moon ส่วนกระจกหน้าปัดเปลี่ยนมาเป็น Sapphire พร้อมเลนส์นูน Cyclop ที่ตรง Day/Date ส่วนกลไกก็เป็นแบบเดิม 4R36 และในชุดนอกจากกล่องที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษแล้ว ก็จะมีสายหนังสีดำอีก 1 เส้นแถมมาให้ด้วย

สถานการณ์ปัจจุบัน : ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรสำหรับเวอร์ชันนี้ ทำให้เราสามารถหาของได้ตามกลุ่ม Facebook และกระดานซื้อขายนาฬิกามือสอง โดยราคาจะอยู่ที่หมื่นกลางๆ สำหรับมือสอง และหมื่นปลายๆ สำหรับมือ 1

Super Blue Monster

Seiko SRP455J1

ถูกผลิตออกมาเป็นลิมิเต็ด เอดิชั่นเวอร์ชันแรกๆ ของ Monster The Fang เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบริษัท Seiko โดยในเวอร์ชัน Super Blue จะมีการผลิตออกมา 4 รุ่นจาก 4 นาฬิกาที่ใช้กลไก 4R36 และ Monster The Fang เป็นหนึ่งในนั้น

ความพิเศษคือหน้าปัดสีน้ำเงินตัดกับเข็มสีทอง โดยที่ Bezel มากับสีน้ำเงินเข้มแบบแวววาว และเม็ดมะยมมากับสีทองเพื่อช่วยเพิ่มความโดดเด่น โดยแม้ว่าจะบอกว่าเป็น Limited Edition แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีการบอกตัวเลขการผลิตออกมา

สถานการณ์ปัจจุบัน : น่าจะยังพอหาได้ตามเว็บบอร์ดมือ 2 ในระดับราคาหมื่นต้นๆ ถึงกลางๆ

Seiko Monster Royal Blue

SRP657K1

ผลิตออกมาฉลองครบรอบ 50 ปีของกลุ่มนาฬิกาดำน้ำของ Seiko เมื่อปี 2015 และเป็น Limited ที่มีขายเฉพาะประเทศไทยจำนวน 1,750 เรือน โดยมาพร้อมกับแพ็คเกจใหญ่ และแถมสายลายคาร์บอนไฟเบอร์สีน้ำเงินเข้าชุดกับหน้าปัดให้อีก 1 เส้น

ตัวเรือนและตัวสายผลิตจากแสตนเลสสตีลคุณภาพสูงที่ใช้เทคนิคพิเศษในการผลิตแบบ Honing Finish ที่มีความเข้มของสแตนเลสสตีลผสมผสานการขัดด้านและแต่งแต้มช่วงข้อสายให้มีความเงางามอย่างมีศิลปะ พร้อมตัวล็อคสายระบบดับเบิ้ลล็อคแข็งแรงแน่นหนา ขอบตัวเรือนขัดทรายเผยให้เห็นลวดลายอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ เต็มพลังด้วยคาลิเบอร์ 4R36 พร้อมทับทิม 24 Jewels ที่ช่วยลดแรงเสียดในการทำงานของจักรกล ตำแหน่งบอกเวลาขนาดใหญ่ มาพร้อมเข็มวินาทีปลายศรเคลือบ Lumibrite สารเรืองแสงชนิดพิเศษอันโดนเด่นตามแบบฉบับของไซโก ที่ช่วยให้อ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจนแม้ในภาวะแสงน้อย หน้าต่างแสดงวันและวันที่ ณ ตำแหน่งที่ 3 นาฬิกา พร้อมเลนส์นูนขยายวันและวันที่ กระจก Sapphire Crystal ป้องกันรอยขีดข่วน เสริมประสิทธิภาพการกันนํ้าลึก 200 เมตรด้วยฝาหลังขันเกลียว

สถานการณ์ปัจจุบัน : ยังสามารถหาได้ทั้งของใหม่ และมือสองในระดับราคาหมื่นกลางไปจนถึงหมื่นปลาย