Tudor Black Bay GMT เด่นสะดุดตาด้วยสีหน้าปัดใหม่

0

อีกครั้งที่ Tudor เพิ่มสีสันใหม่ให้กับนาฬิการุ่น Black Bay GMT โดยครั้งนี้มากับความโดดเด่นกับสีหน้าปัดใหม่แบบ Opaline บนตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตรสวยและลงตัวกับการขัดแบบซาตินสลับเงา พร้อมสายที่มีให้เลือกทั้งสายผ้า และสายสแตนเลสสตีล

- Advertisement -

Tudor Black Bay GMT

Tudor Black Bay GMT เด่นสะดุดตาด้วยสีหน้าปัดใหม่

  • เวอร์ชันปี 2023 ของ Tudor Black Bay GMT ที่โดดเด่นกับสีหน้าปัดใหม่แบบ Opaline

  • ตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตรสวยและลงตัวกับการขัดแบบซาตินสลับเงา พร้อมสายที่มีให้เลือกทั้งสายผ้า และสายสแตนเลสสตีล

  • ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 144,100-155,400 บาท

มีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ซึ่งทั้งหมดเป็นในเรื่องของการเปลี่ยนสีสันบนหน้าปัด และในปี 2023 ทาง Tudor ได้จัดการเพิ่มอีกทางเลือกของสีหน้าปัดกับสี Opaline เข้ากันกับขอบตัวเรือนสีแดงเบอร์กันดี และสีน้ำเงินอันโดดเด่น มาพร้อมกับคาลิเบอร์ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเองอันเที่ยงตรงอีกด้วย อย่าง MT5652 ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเองผ่านการรับรองจาก COSC พร้อมสปริงซิลิคอนเพิ่มสมดุลและพลังงานสำรอง 70 ชั่วโมง

เวอร์ชัน GMT ของ Tudor Black Bay เปิดตัวออกมาเมื่อปี 2018 ทำตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยหน้าปัดดำ และขอบตัวเรือนแบบทูโทนมาอย่างยาวนานจนกระทั่งถึงปี 2022 พวกเขาจึงเปิดตัวทางเลือกใหม่ที่ถูกเรียกว่า Root Beer กับการใช้โทนสีน้ำตาล-ทองและดำเพื่อเป็นอีกทางเลือกในการทำตลาด ก่อนที่จะมาถึงรุ่นหน้าปัดสี Opaline ที่เปิดตัวออกมาในปี 2023 นี้

Tudor Black Bay GMTTudor Black Bay GMT

สำหรับหน้าปัดขาวแบบ Opaline ไม่ได้เป็นสีขาวสนิท แต่ยังแต่งแต้มเฉดสีเงินจางๆ ให้กับหน้าปัด และยังตกแต่งผิวสัมผัสเทาขาวเนื้อด้านลงบนหน้าปัดด้วยการใช้กระบวนการกัลวาไนซ์ และเครื่องหมายบอกเวลารอบๆ ก็มีสีเข้มขึ้นเพื่อให้สีดูตัดกันชัดเจนยิ่งขึ้น นอกเหนือจากเป็นการหวนรำลึกถึงยุครุ่งเรืองของการบินเชิงพาณิชย์ช่วงกลางศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว หน้าปัดสี Opaline อันเปี่ยมเสน่ห์นี้ยังสามารถอ่านได้ง่ายอีกด้วย

ตัวเรือนผิวสัมผัสแบบซาตินทำจากสเตนเลสสตีล 316L ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 41 มม. พร้อมขอบตัวเรือนแบบหมุนได้สองทิศทาง ขอบหน้าปัดอะลูมิเนียมเคลือบผิวสีแดงเบอร์กันดีและน้ำเงินเข้ม นับเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของฟังก์ชัน GMT ท่อเม็ดมะยมทำจากสตีลผิวสัมผัสซาติน ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ใหม่ของตระกูล Black Bay ที่ออกมาแบบให้เข้ากับความงดงามของตัวเรือนและเม็ดมะยม

Tudor Black Bay GMT

ชุดเข็มของนาฬิกาเรือนนี้ได้รับการออกแบบโดยได้รับอิทธิพลมาจากนาฬิกาดำน้ำของ Tudor ในอดีต โดยดึงเอาหัวเข็มทรงเกล็ดหิมะ หรือ Snowflake ที่ถูกใช้ในนาฬิกาดำน้ำของแบรนด์ที่เปิดตัวในปี 1969 มาใช้ทั้งเข็มชั่วโมง และเข็ม GMT ซึ่งจะเดิน 1 รอบหน้าปัดในการบอกเวลาที่ 2

สำหรับรุ่นที่ทำตลาดจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ

  • Ref. M79830RB-0012 สายผ้า ราคา 144,100 บาท
  • Ref. M79830RB-0010 สายสแตนเลสสตีล ราคา 155,400 บาท
Tudor Black Bay GMT Tudor Black Bay GMT
Tudor Black Bay GMT Tudor Black Bay GMT
Tudor Black Bay GMT Tudor Black Bay GMT

สำหรับสายผ้าของ Tudor นับจากปี 2010 สายนี้ได้กลายเป็นนาฬิกาแบรนด์แรกที่มอบสายผ้ามาให้พร้อมกับผลิตภัณฑ์ ผ้าดังกล่าวทอขึ้นในฝรั่งเศสด้วยวิธีดั้งเดิมในสมัยศตวรรษที่ โดยเครื่องทอผ้าแจ็กการ์ดของบริษัท Julien Faure ในแคว้นแซงต์ เอเตียน มีความโดดเด่นด้านคุณภาพและความรู้สึกสบายที่แตกแต่งเมื่อสวมใส่บนข้อมือ ในปี 2020 Tudor

ได้เฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของความร่วมมือกับบริษัท Julien Faure ที่ก่อตั้งมายาวนานถึง 150 ปี การเป็นพันธมิตรได้เริ่มต้นขึ้นจากการเปิดตัวนาฬิกา Heritage Chrono ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมกับสายผ้าที่รังสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือผู้ชำนาญในงาน Baselworld

Tudor Black Bay GMT Tudor Black Bay GMT

Tudor ได้เลือกสายสีดำคาดด้วยลายถักสีแดงเบอร์กันดีเช่นเดียวกับขอบตัวเรือนสำหรับนาฬิการุ่น Black Bay GMT รุ่นนี้ยังมีให้เลือกในแบบสายสเตนเลสสตีลซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสายนาฬิกาแบบพับได้ซึ่งยึดด้วยหมุดที่ Tudor ผลิตขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 60 อีกด้วย

โดยเป็นที่รู้จักกันดีถึงหัวหมุดที่มองเห็นได้ชัดจากด้านข้างของสายนาฬิกาที่ยึดข้อต่อสายเข้าด้วยกัน และข้อต่อเหล่านี้ยังมีโครงสร้างแบบขั้นบันไดที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย รายละเอียดที่งดงามทั้งสองนี้สามารถพบได้บนสายนาฬิกาในปัจจุบัน ซึ่งได้ผนวกรวมวิธีการผลิตนาฬิกาสมัยใหม่เข้ากับการใช้ข้อต่อแบบติดแน่นและตัวยึดสไตล์หัวหมุดที่ขัดผิวด้วยเลเซอร์อีกด้วย

การขับเคลื่อนของรุ่น GMT เป็นหน้าที่ของกลไกอัตโนมัติในรหัส MT5652 ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเอง พร้อมฟังก์ชัน GMT ในตัว มาพร้อมกับเข็มชั่วโมงแบบกระโดด และการตั้งวันที่แบบถอยกลับไปยังวันก่อนหน้า ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Tudor

สำหรับนาฬิกาในตระกูล Black Bay GMT นี่คือการแสดงให้เห็นถึงแนวทางของ Tudor ในด้านการพัฒนาทางเทคนิค ซึ่งการผสานฟังก์ชันใหม่ๆ นั้นสามารถทำได้โดยอาศัยสถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่น แทนที่จะเป็นการซ้อนอีกโมดูลทับเข้าไป รายละเอียดที่ไม่เหมือนใครและเป็นสิ่งที่คนรักนาฬิกาตัวจริงต่างแสวงหา

คาลิเบอร์ MT5652 มีรูปลักษณ์และผิวสัมผัสเช่นเดียวกับคาลิเบอร์ที่พัฒนาขึ้นเอง อันเป็นรูปแบบเฉพาะของ Tudor โรเตอร์แบบแสดงให้เห็นกลไกนั้นเป็นแบบผิวสัมผัสซาตินพร้อมตกแต่งรายละเอียดแบบพ่นทราย แผ่นเชื่อมและแท่นเครื่องที่มีพื้นผิวแบบพ่นทรายแบบสลับกันและตกแต่งด้วยเลเซอร์ โครงสร้างนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้มั่นใจได้ถึงความทนทานและความเที่ยงตรง

ด้วยเหตุนี้ จักรกรอกสมดุลความเฉื่อยในตัวนาฬิกาจึงอยู่บนแผ่นเชื่อมอันมั่นคงที่มีจุดยึดสองจุด ระบบนี้ พร้อมด้วยแฮร์สปริงซิลิคอนแบบไร้แม่เหล็ก ทำให้คาลิเบอร์ MT5652 ที่พัฒนาขึ้นในโรงงานของตนเองสามารถทำงานได้ภายใต้เกณฑ์การยอมรับในช่วง 6 วินาที (2 +4) เมื่อทดสอบกับนาฬิกาที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว

Tudor Black Bay GMT Tudor Black Bay GMT

อีกคุณสมบัติที่โดดเด่นก็คือพลังงานสำรองของคาลิเบอร์ MT5652 ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเองนั้น “ไม่หยุดสุดสัปดาห์” หรือกล่าวคือประมาณ 70 ชั่วโมง จึงทำให้ผู้สวมใส่สามารถถอดนาฬิกาในคืนวันศุกร์และสวมกลับคืนอีกครั้งตอนเช้าวันจันทร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องไขลานหรือตั้งเวลาใหม่ แม้ผู้สวมใส่จะหยุดพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์ แต่นาฬิการุ่นนี้จะไม่หยุดทำงาน

Tudor Black Bay GMT Tudor Black Bay GMT
Tudor Black Bay GMT Tudor Black Bay GMT

อีกสีสันของหน้าปัดที่สะท้อนถึงความสวยงามและความโดดเด่นของ Tudor Black Bay GMT ใครที่สนใจก็เตรียมตัวลุยกันได้เลย

รายละเอียดทางเทคนิค : Tudor Black Bay GMT

  • เส้นผ่านศูนย์กลาง: 41 มิลลิเมตร
  • วัสดุตัวเรือน: สแตนเลสสตีล
  • กระจก: Sapphire ทรงโดม
  • กลไก: อัตโนมัติ MT5652 GMT มีความเที่ยงตรงระดับ Chronometer
  • ความถี่: 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง
  • กำลังสำรอง: 70 ชั่วโมง
  • การกันน้ำ: 200 เมตร