Tissot T-Race Jorge Lorenzo LE ถึงไม่ใช่แฟนแต่มีสิทธิ์เสียเงินได้

0

ชื่อของ Jorge Lorenzo ในโลกการแข่งมอเตอร์ไซค์มีความโด่งดังอย่างมาก แต่นั่นถือว่ามากพอที่จะทำให้คนที่แค่รู้จักแต่ไม่ถึงกับเป็นแฟนยอมควักเงิน 30,000 กว่าบาทเพื่อแลกกับนาฬิกาที่เป็น Limited Edition ของเขาหรือไม่ และถ้าใช่ มันจะต้องมีเหตุผลมากกว่าแค่ชื่อของ Lorenzo อย่างแน่นอน

Tissot T-Race Jorge Lorenzo LE ถึงไม่ใช่แฟนแต่มีสิทธิ์เสียเงินได้
Tissot T-Race Jorge Lorenzo LE ถึงไม่ใช่แฟนแต่มีสิทธิ์เสียเงินได้

Tissot T-Race Jorge Lorenzo LE ถึงไม่ใช่แฟนแต่มีสิทธิ์เสียเงินได้

- Advertisement -

ความสัมพันธ์ของผมกับแบรนด์อย่าง Tissot อาจจะไม่ใช่แฟนที่เหนียวแน่นอะไรมากมาย แต่ก็พอมีประสบการณ์ในการสัมผัสกับนาฬิกาจากค่ายนี้มาบ้าง เมื่อสมัยที่พวกเขาออกรุ่น Visodate ขณะที่อีกคอลเล็กชั่นหนึ่งที่ผมแอบเล็งอยู่ห่างๆ แต่ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้ นั่นคือ T-race และเมื่อพวกเขานำยอดนักบิดแห่งยุคของ Moto GP อย่าง Jorge Lorenzo มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ พร้อมกับเปิดตัว Limited Edition ออกมาในชื่อ T-Race Jorge Lorenzo ในปี 2017 ผมว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่เราทั้งสองควรจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้น

สารภาพก่อนว่าผมอาจจะไม่ใช่แฟนของ Moto GP เหนียวแน่นมากเท่ากับ F1 เพราะตั้งแต่สิ้นยุคของ Kevin Schwantz และ Michael Doohan แล้ว ผมทำได้แค่ตามผลการแข่งขันรายการนี้แบบห่างๆ ไม่ได้ลงไปใกล้ชิดเหมือน กับสมัยหนุ่มๆ แต่ก็พอรู้ข่าวคราวบ้าง และได้ยินถึงกิตติศัพท์ของนักบิดชาวสเปนที่มีดีกรีเป็นแชมป์โลก 3 สมัยผู้นี้มากพอที่จะไม่ลังเลที่จะเลือก ‘อะไร’ ที่เกี่ยวข้องกับเขา ถ้ามันมีอะไรที่พิเศษและน่าสนใจ

คอลเล็กชั่นนี้เป็นรุ่นปี 2017 ของ Tissot ซึ่งพวกเขาเองเป็นผู้สนับสนุนหลักในด้าน Time Keeping ของรายการ Moto GP โดยในส่วนของ T-Race ที่เป็น Quartz Chronograph นั้นมีเปิดตัวออกมาด้วยกัน 4 รุ่น ซึ่งนอกจาก Lorenzo LE แล้ว ก็ยังมี  Nicky Heyden LE ซึ่งเป็นยอดนักบิดอีกคนที่ชื่อดังแต่น่าเสียดายที่เขามาด่วนจากไปอย่างรวดเร็วไปหน่อย อีกรุ่นเป็น LE ผลิต 5,000 เรือนสำหรับการแข่งขัน Moto GP ส่วนรุ่นสุดท้ายผลิตออกมา 1,212 เรือน และเป็นคอลเล็กชั่นของ Thomas Luthi นักแข่งชาวสวิสส์ที่อยู่ในรายการ Moto2

จริงๆ แล้วผมควรจะหยิบ Heyden LE เพราะด้วยสภาพแวดล้อมโดยรวมซึ่งเป็นคอลเล็กชั่นสุดท้ายของเขานั้นมีน้ำหนักมากพอที่ ‘คุณควร’ จะเลือก แต่สุดท้ายในเมื่อทั้งคู่เป็นนักแข่งที่ผมรู้จักพอๆ กัน ผลิตในจำนวนเท่ากันที่ 2017 เรือนทั่วโลกตามปีที่เปิดตัว ปัจจัยที่จะใช้ในการตัดสินว่าผมจะเลือกรุ่นไหนก็เลยเป็นรุ่นไหนสวยและสะดุดตามากกว่า ซึ่งสายยางสีแดงสลับขาวบวกกับตัวเรือนดำ และฝาหลังสีขาวแดงที่มีหมายเลข 99 ของ  Lorenzo นั้นชนะขาดในมุมของผม

สำหรับ T-Race Chronograph ผมว่าเป็นนาฬิกาที่เมื่อมองจากรูปลักษณ์แล้ว มันจะอยู่ในอารมณ์แบบสุดขั้ว คือ ถ้าไม่ชอบไปเลย ก็ต้องชอบมาก ประเภทเห็นแล้วเฉยๆ คงไม่มี เพราะด้วยการออกแบบรูปทรงและรายละเอียดบนหน้าปัดที่บางคนบอกแล้วว่า ‘ดูเยอะ’ เกิน ทำให้ตัวนาฬิกามันออกแนวล้ำๆ แต่ผมกลับสะดุดตา และค่อนข้างชอบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพื้นที่ตรงฝั่งครึ่งขวาส่วนเม็ดมะยมที่พวกเขาทำเลนส์นูน Cyclop ที่มีรูปทรงแปลกว่าชาวบ้าน (ผมว่ามันคล้ายกับแว่นตาเอาไว้สแกนข้อมูลของเบจิต้าเวลาสวมชุดอวกาศใน Dragonball นะ) แถมตรงบริเวณ Crown Guard ยังทำเป็นสันหนาๆ ขึ้นมา ตรงนี้แหละที่ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของ T-Race Chronograph ไปโดยปริยาย

เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นธรรมดาแล้ว ในส่วนของ LE ที่อิงกับ Moto GP จะแตกต่างกันในแง่ของรายละเอียด โดยเฉพาะขอบ Bezel ที่มีการเซาะร่องคล้ายกับดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อนในตัวรถแข่ง และสลักตัวเลขตามหลักของวินาที/นาที โดยที่ย้ายสเกล Tachymeter เอาไปไว้อยู่ในส่วนของ Insert Ring ภายในหน้าปัดแทน ซึ่งในรุ่นของ Lorenzo ที่เน้นสีแดง-ขาวเป็นหล้กนั้น จะมีการใช้สีแดงเป็นแถบของ Tachymeter ตั้งแต่ระดับความเร็ว 400 km/h ไปจนถึง 180 km/h และ 160-120 km/h เป็นสีขาว ส่วนที่เหลือก็เป็นแถบสีดำกลมกลืนไปกับพื้นของหน้าปัด

เช่นเดียวกับ Bezel ในส่วนของขายึดสายก็แตกต่างกันออกไป และตามเอกสารของ Tissot นั้นบอกว่าออกแบบให้คล้ายกับตะเกียบคู่หน้าของมอเตอร์ไซค์ เช่นดียวกับวงจับเวลาที่มีลักษณะคล้ายกับมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และความเร็วของมอเตอร์ไซค์ ส่วนสายยางนั้นมีลวดลายทั้งด้านนอกและด้านในคล้ายกับลายดอกยางทั้งในแบบ Wet Tire และ Intermediate Tire คือ ทุกอย่างถูกออกแบบและเลือกอย่างมีเหตุผลที่สัมพันธ์กันกับคอนเซ็ปต์ของตัวนาฬิกา

ขนาดตัวเรือนของ T-Race Chronograph ถือว่าพอเหมาะและรับกับข้อมือขนาด 6.5 นิ้วขึ้นไปได้อย่างลงตัว ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลาง 45.2 มิลลิเมตร แต่ Lug-to-Lug ไม่ยาวจนเกินไป แค่ 47.2 มิลลิเมตร ส่วนความหนาอยู่ที่ 12.8 มิลลิเมตร และขาสายกว้าง 20 มิลลิเมตร แต่เรื่องหาสายหนังสวยๆ มาจับคู่อาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากหน่อยในการเข้ากันกับตัวเรือน และอาจจะต้องสั่งทำพิเศษหากคุณยังอยากที่จะทำ ซึ่งสายยาง คือ สิ่งที่ผมชอบและไม่ชอบของนาฬิการุ่นนี้

ที่ชอบ คือ ลวดลาย ความนุ่มของสายที่ใส่แล้วสบายมาก และไอเดียในการเลือกใช้ลวดลายของยางรถมาตกแต่งสาย แถม Tissot ยังให้ตัวบัคเคิลแบบบานพับมาให้ แต่ที่ไม่ชอบ คือ ความไม่ยืดหยุ่นของสาย และการปรับสายที่จะต้องตัดสายส่วนเกินออกเพื่อปรับขนาดอย่างเดียว ในอนาคตถ้าเกิดคุณอ้วนขึ้นมาแบบเยอะเกิน หรือส่งต่อนาฬิกาเรือนนี้ให้คนอื่นที่มีข้อมือใหญ่กว่าคุณ เมื่อบวกกับความซับซ้อนของรูปแบบตัวเรือนตรงบริเวณขาสายแล้ว นั่นหมายความว่า ต้องสั่งสายใหม่เพียงอย่างเดียว

ในเมื่ออยู่ในเครือ Swatch Group ทำให้เราได้สัมผัสกับกลไกจากแบรนด์ในเครืออย่าง ETA ซึ่งเป็นกลไกควอตซ์ โครโนกราฟรุ่น G10.212 มีฟังก์ชั่นจับเวลาละเอียด 1/10 วินาที และ 30 นาที รวมถึงยังแยกจับเวลาได้อีกด้วย ตรงนี้ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เพราะกลไกดี และเป็นนาฬิกาควอตซ์ ซึ่งมีความทนทาน เที่ยงตรงและแม่นยำอยู่แล้ว การใช้งานก็แค่ใส่ใจในเรื่องการเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลา และเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีคุณภาพเท่านั้นเป็นพอ

อย่างไรก็ตาม ราคาน่าจะเป็นประเด็นหลักที่หลายคนอาจลังเลโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อินอะไรกับ Jorge Lorenzo หรือ Moto GP เพราะกับค่าตัวตามป้าย 30,700 บาทเพื่อแลกกับนาฬิกา Quartz Chronograph ตัวเลือกในช่วงราคานี้มันมีมาก ทั้งคู่แข่งที่เป็นแบรนด์สวิสส์เองหรือแบรนด์จากญี่ปุ่น แถมบางคนยังตั้งแง่กับนาฬิกาควอตซ์ และมักมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับนาฬิกาประเภทนี้ และกับราคาระดับนี้ บอกได้คำเดียวว่า ให้ลืมไปได้เลยที่พวกเขาจะควักเงินเพื่อเป็นเจ้าของ

ดังนั้น ผมเชื่อเลยว่า 2017 คนที่จะได้ครอบครองนาฬิการุ่นนี้ มากกว่า 95% คงจะต้องเป็นแฟน Jorge Lorenzo อย่างแน่นอน ส่วนที่เหลืออีก 5% น่าจะเป็นคนอย่างผม ที่รู้จักนักแข่งคนนี้บ้าง ไม่ใช่ถึงกับเป็นแฟนตัวยง แต่เหตุผลที่ทำให้หยิบชึ้นมานั้นก็คือ ชอบในดีไซน์ที่แปลกและสะดุดตา โดยที่ไม่สนว่าจะต้องเป็นนาฬิกาควอตซ์ หรืออัตโนมัติ ขอแค่ดูสวยและโดดเด่นเวลาอยู่บนข้อมือ แบรนด์ดีน่าเชื่อถือ และมีสตอรี่ของตัวนาฬิกาอีกสักนิดเอาไว้คุยกับเพื่อนๆ แค่นี้ก็ทำให้บัตรเครดิตของผมลอยไปอยู่ที่เครื่องเก็บเงินได้แล้ว  

คุณสมบัติของ : Tissot T-Race Jorge Lorenzo LE

  • เส้นผ่านศูนย์กลาง : 45.2 มิลลิเมตร
  • Lug-to-Lug : 47.2 มิลลิเมตร
  • หนา : 12.8 มิลลิเมตร
  • ความกว้างขาสาย : 20 มิลลิเมตร
  • กระจก : Sapphire
  • ระดับการกันน้ำ : 100 เมตร
  • กลไก : ควอตซ์ โครโนกราฟ ETA G10.122
  • จำนวนทับทิม : 4  เม็ด
  • การทำงาน : ฟังก์ชั่นจับเวลาละเอียด 1/10 วินาที และ 30 นาที รวมถึงยังแยกจับเวลา
  • ประทับใจ : ดีไซน์สวย คอนเซ็ปต์ในการผสานเอามอเตอร์ไซค์แข่งมาอยู่บนตัวเรือนนาฬิกา
  • ไม่ประทับใจ : ราคา รูปแบบของสายที่ต้องตัดเพื่อประบขนาด