งบฯ ไม่เยอะ แค่ 35,000 บาท แต่อยากได้นาฬิกาแบรนด์ดีแบบ Swiss Made สักเรือน หลายคนอาจจะมีตัวเลือกอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณยังไม่มีลองดู 5 ทางเลือกที่เราคัดสรรมาให้คุณพิจารณากันดีไหม
Swiss Made Automatic Watch ป้ายแดงกับงบ 35K เป็นไปได้ไหม
คำถามนี้ผมเจอค่อนข้างบ่อยมากใน Massage ของทาง Ana-Digi และ LINE@ ซึ่งดูเหมือนว่า บางคนมองไม่เห็นหนทางในการที่จะสัมผัสกับนาฬิกาที่ขึ้นชื่อว่า Swiss Made ภายใต้วงเงินเท่านี้…อันนี้หมายถึงมือ 1 ป้ายแดงจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์เลยนะครับ ไม่ใช่พวกของหิ้ว หรือของมือสองที่เรามองหากันตามอินเตอร์เน็ตหรือ Facebook
ถามว่ามีไหม คำตอบคือ มี และนี่คือ 5 รุ่นในแบบ Swiss Made ที่เราคิดว่าคุณสามารถเป็นเจ้าของได้ภายใต้งบประมาณที่กำหนด แถมบางรุ่นอาจจะเหลืองบฯ อีกหน่อยเอาไว้จัดดินเนอร์ดีๆ สักมือให้กับผบ. เลยก็ได้ หากคุณเจอเข้ากับดีลดีๆ ก็ได้
1.Mido Ocean Star Captain : ชื่อของ Mido อาจจะดูสูงวัยสักนิดสำหรับคนที่มีอายุขึ้นต้นด้วยเลข 3 แต่สำหรับผมที่มีประสบการณ์ร่วมและอยู่ในวัยขึ้นต้นด้วยเลข 4 แล้ว นี่คืออีกแบรนด์ที่คุ้นเคยและคุ้นหูอย่างมาก แถมที่น่าตกใจคือ ในช่วงหลังๆ พวกเขาออกแบบนาฬิกาได้ร่วมสมัยขึ้น และมีหลายรุ่นเลยทีเดียวที่พอได้เห็นแล้วต้องท่องนโมหลายจบเพื่อสงบสติอารมณ์เอาไว้
อย่างไรก็ตามภายใต้โจทย์ที่ถูกโยนลงมา กับวงเงิน 35,000 บาทกับนาฬิกาป้ายแดงที่แปะป้ายว่าเป็น Swiss Made สักเรือน มันจะพอหาได้ไหม ? เราบอกเลยว่าหาได้ และ Mido Ocean Star Captain ซึ่งเป็นคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดของพวกเขา คือ ตัวเลือกแรกที่เราพุ่งตรงไปทันที ด้วยเหตุผลหลายข้อด้วยกัน
อย่างแรก แบรนด์ ขนาด และหน้าตาโดยรวม ซึ่งชื่อ Mido ไม่ใช่ชื่อที่ไม่คุ้นหูแต่อย่างใด ถือเป็นแบรนด์ที่ดีมีตำนานระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าในช่วงหนึ่งรอยต่อในการทำตลาดอาจจะหายไปจนทำให้คนรุ่นใหม่ๆ มองข้ามไป ขณะที่หน้าตาของนาฬิการุ่นนี้ถือว่าออกแบบได้สวยในแบบเรียบๆ เหมาะทั้งการใส่ทำงานหรือใส่ในวันหยุด ขนาดตัวเรือนก็ไม่ใหญ่จนเกินไป 42 มิลลิเมตร
ข้อที่ 2 แม้ว่า Mido จะไม่ได้ระบุว่า Ocean Star Captain เป็นนาฬิกาดำน้ำ แต่มันก็มีความทนทานต่อการกันน้ำในระดับ 200 เมตร ซึ่งก็มากพอที่จะทำให้คุณว่ายน้ำหรือ Snorkeling บนผิวน้ำได้
ข้อที่ 3 มีทางเลือกแบบไทเทเนียม ตอนแรกเรากะจะคิดว่าเลือกหน้าน้ำเงินตัวเรือน Stainless แต่พอเหลือบตาไปอีกทีพบว่าพวกเขามีรุ่นไทเทเนียมขายด้วย และด้วยราคาป้าย 36,500 บาท และหักส่วนลดออก เราจะพบว่ายังเหลือเงินอีกหลายพันเลย
ข้อที่ 4 กลไกที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 80 ชั่วโมง ซึ่งคุณจะหาได้จากนาฬิการะดับราคานี้แบรนด์ไหนบ้างละ ซึ่งข้อดีของการอยู่ในเครือ Swatch Group คือ การที่พวกเขาสามารถหยิบยืมกลไกจากแบรนด์อื่นๆ มาใช้ร่วมกันได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนเยอะในการพัฒนาขึ้นใหม่
เท่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วในการตัดสินใจใส่ชื่อนี้เข้าไปในตัวเลือกของเรา
2.Hamilton Khaki Field : ถือเป็น Iconic ของแบรนด์เลยก็ว่าได้ และแม้ว่าจะเกิดที่อเมริกา แต่ในปัจจุบัน Hamilton ถือเป็นนาฬิกาแบบ Swiss Made เต็มตัว โดยตัว Khaki Field ที่เห็นอยู่นี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบนหน้าปัด เช่นเดียวกับการเปลี่ยนกลไกใหม่ H-10 ที่มีการสำรองพลังงานถึง 80 ชั่วโมง
ผมเคยมี Khaki Field ตัวก่อนหน้านี้ และยอมรับเลยว่าค่อนข้างติดใจกับขนาดและความหนาที่ไม่มากจนเกินไป ทำให้ตัวนาฬิกาดูสวยและสปอร์ต แต่จะติดเรื่องเดียวก็แค่ขนาดกับขาสายในมุมของผมที่ชอบเปลี่ยนสายหนัง มันไม่ค่อยสมดุลกันเท่านั้นเอง กับตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตร ผมว่าความกว้างขายสายสัก 20 มิลลิเมตร น่าจะลงตัวกว่า และไม่ทำให้ภาพรวมของนาฬิกาดูเป็นแท่งเวลาถอดวางเอาไว้
สำหรับรุ่นใหม่ที่ใช้ Ref. H70605193 หน้าสีน้ำตาลกับสายผ้าสีน้ำตาลดูลงตัวและเข้ากันอย่างมาก โดยเฉพาะหน้าปัดที่ได้รับการออกแบบใหม่และจัดวางตัวฟอนต์ใหม่ ซึ่งในส่วนหน้าน้ำตาลนั้น ด้วยสีและรูปแบบ ทำให้ได้ลุ๊ควินเทจอย่างมากเลย แถมการใช้กลไกในเครือ Swatch Group อย่าง H-10 ที่มีการสำรองพลังงานถึง 80 ชั่วโมงแล้ว ถือว่ายิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับนาฬิกาเรือนนี้อย่างมาก
เอาเป็นว่ากับราคาตามป้าย 27,700 บาท แค่นี้ยังเหลืองบอีกเยอะเลย และถ้ายิ่งได้ดีลๆ ทั้งโปรโมชั่นงาน หรือ On Top ของบัตร ดีไม่ดียังมีงบเหลือจัดนาฬิกาญี่ปุ่นอีกสักเรือนก็ยังได้เลย
3.Oris BigCrown Pro Pilot Date : จริงๆ อยากจะแนะนำ Aquis ใหม่ แต่ด้วยค่าตัวขยับขึ้น และยังไม่ทราบนโยบายส่วนลดของร้านค้านอกชอปของ Oris ว่าเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ก็เลยไม่กล้าที่จะแนะนำ หรือแม้แต่กับ Oris BigCrown Pro Pilot Date เองกับราคาป้ายสำหรับรุ่น 45 มิลลิเมตรเฉียด 60,000 บาทงานนี้ก็มีตึงๆ มือ ในการซื้อผ่านทางเคาน์เตอร์ อาจจะต้องลองมองหาร้านข้างนอกที่เป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งบางที่มักจะมีดีลดีๆ เสมอสำหรับการจ่ายเงินสด
แต่ถ้ารุ่น 45 มิลลิเมตรตึงเกินไป ก็ขยับมาที่รุ่น 41 มิลลิเมตรก็ได้ ราคาก็ย่อมเยาลงมา ซึ่งบางร้านในออนไลน์ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย เปิดราคาตั้งมาไม่ถึง 50,000 บาท เมื่อหักส่วนลดและขอดีลดีๆ ได้ ก็น่าจะกดราคาให้อยู่ในระดับที่พอกับงบประมาณที่วางเอาไว้ได้ ซึ่งในมุมของผมคิดว่ายังไง BigCrown Pro Pilot Date มีดีไซน์ที่ดูทันสมัยกว่าเจ้า BC3 ซึ่งเป็นนาฬิกาในกลุ่มนักบินเหมือนกัน
4.Swatch Sistem 51 : บอกเลยว่างานนี้คุณเหลืองบฯ อีกบานเอาไว้ผลาญกับเรือนอื่นเลย และเราคงแนะนำพวกรุ่น Irony ที่ใช้ตัวเรือนเป็น Steel แล้วไม่ใช่ตัวพลาสติก ซึ่งราคาตั้งในเคาน์เตอร์อยู่ราวๆ 6,900 บาท แถมได้นาฬิกาจาก Swiss ที่แม้ว่าจะไม่มีคำว่า Swiss Made บนหน้าปัดก็ตาม
สิ่งที่ทำให้ Sistem 51 น่าสนใจคือ ราคาที่ไม่สูงจนเกินไป เป็นนาฬิกาที่มีบุคลิกเป็นตัวของตัวเอง และกลไก Sistem 51 ที่โปรโมทว่ามีชิ้นส่วนเพียง 51 ชิ้น และใช้น็อตเพียง 1 ตัวยึดเอาไว้ก็ถือเป็นอะไรที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของการทำให้มีพลังงานสำรองมากถึง 90 ชั่วโมงโดยที่ราคาจำหน่ายอยู่ในระดับไม่เกิน 7,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อาจจะทำให้ขัดใจคือ ฝาหลังที่ถูกผนึกซีลเอาไว้ทำให้ตัวนาฬิกาเองเซอร์วิสได้ยาก หรือถ้าลองหาอ่านรีวิวตามเว็บบางคนถึงกับบอกว่าเป็นนาฬิกาแบบใช้แล้วทิ้ง เสียแล้วไม่ต้องซ่อม ซึ่งอันนี้ถ้าเป็นจริงผมว่าไม่เหมาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ไม่มีเงินซื้อนาฬิกาใหม่นะ แต่บางครั้งนาฬิกาคือของสะสมสำหรับบางคน ไม่ใช่แค่ของใช้ ที่พอหมดสภาพก็โดยนทิ้ง
5.Squale 50 Atmos Opaco Super Matte : จริงๆ แล้วนาฬิกาแบรนด์นี้มีดีไซน์และคุณภาพที่น่าจับต้องแบรนด์หนึ่งเลย แต่เสียอย่างเดียว คือ โลโก้ไม่สวยเลย (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ) ซึ่งในกลุ่มพื้นฐาน ผมไม่ขอแนะนำ เพราะส่วนใหญ่เป็นนาฬิกาในสไตล์ที่ยึดดีไซน์คล้ายนาฬิการุ่นดังมากไปหน่อย แต่ในกลุ่มที่สูงขึ้นมาระดับเกิน 30,000 บาท ต้องยอมรับว่า Squale ทำได้ดีมาก
กับงบที่มีอยู่ 35,000 บาท คุณสามารถจับจองเจ้า 50 Atmos Opaco Super Matte นาฬิกาทรงดำน้ำย้อนยุค ที่มาพร้อมกับตัวเรือนผลิตจาก Stainless Steel แต่ใช้กรรมวิธี Super Matte Treatment ในการทำให้ตัวเรือนดูเป็นสีเงินด้าน ขนาดตัวเรือน 42 มิลลิเมตร กันน้ำในระดับ 500 เมตร และใช้กลไกยอดนิยม ETA2824-2
หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อของ Squale (อ่านว่า สควา—เลย์) แต่นี่คือแบรนด์เก่าแก่อีกแบรนด์หนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ เปิดตัวเมื่อปี 1946 แต่ส่วนใหญ่จะอยู่เบื้องหลังในการผลิตชิ้นส่วนให้กับนาฬิกาแบรนด์ดังๆ จนกระทั่งเปิดตลาดด้วยแบรนด์ของตัวเองในปี 1974 แต่จังหวะไม่ดีเจอ Quartz Crisis เข้าไป เลยทำให้ยอดขายวูบจนต้องหยุดผลิตในปี 1989 และหลังจากนั้นตระกูลดั้งเดิมก็ขายกิจการให้กับเพื่อนชาวอิตาลีในตระกูล Maggi Family และนั่นทำให้สำนักงานใหญ่ของ Squale อยู่ที่มิลาน และโรงงานผลิตอยู่ที่เมือง Grenchen ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งในปัจจุบัน ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์นี้ในไทยคือ Saggio Watch ซึ่งมีบูติกอยู่ที่ตึกเกตเวย์ เอกมัย
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigiwatch/