นาฬิกาอีกรุ่นที่เชื่อว่าแฟนๆ ไม่น่าพลาด กับหนึ่งในรุ่นที่ 7 ของคอลเล็กชั่น Save the ocean ของ Seiko (ไซโก) ที่พัฒนาบนพื้นฐานของนาฬิการุ่น Monster และจำหน่ายในรหัส SRPG57K1
Seiko Save the ocean Monster SRPG57K1 ความงามที่พลาดไม่ได้
-
รุ่นที่ 7 ของคอลเล็กชั่น Save the ocean ของ Seiko
-
ตัวเรือนขนาดกำลังดีของรุ่น Monster แต่เติมความสวยของหน้าปัดที่สะท้อนความงามของทวีปแอนตาร์กติกา
-
เป็นนาฬิการุ่นพิเศษไม่ใช่ Limited Edition และมีราคาป้ายอยู่ที่ 20,900 บาท
แม้จะมาทีหลังเวอร์ชัน Zimbe และ PADI แต่ก็ต้องบอกว่า Save the ocean ถือเป็นคอลเล็กชั่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องท้องทะเลของ Seiko ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะคอลเล็กชั่นที่ 7 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวขายเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และมี Seiko Prospex SRPG57K1 ที่พื้นฐานของรุ่น Monster เป็นตัวชูโรง และเป็นรุ่นที่เรากำลังจะรีวิวในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะไปถึงเรื่องของตัวนาฬิการุ่นนี้ เรามาทำความรู้จักกับคอลเล็กชั่น Save the ocean กันสักหน่อย ซึ่งอย่างที่ทราบกันกับโครงการ Save the ocean ที่ทาง Seiko จัดขึ้นมาเป็นผลผลิตที่เกิดจากความร่วมมือกับ Fabien Costeau นักสำรวจโลกใต้ท้องทะเลที่เป็นหลานชายของ Jacques-Yves Cousteau (ฟาเบียน คุสโตว์) นักสำรวจชื่อดังของโลก
โดย Seiko จะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกา Save the ocean มอบให้กับ Ocean Learning Center (OLC) หรือศูนย์วิจัยและการเรียนรู้ทางทะเลของ Fabien Cousteau แบรนด์แอมบาสเดอร์ คอลเลคชั่น Prospex (พรอสเป็กซ์) เพื่อนำไปศึกษา, เรียนรู้เพื่อหาทางฟื้นฟู มหาสมุทรที่ได้รับผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และจากการกระทำของมนุษย์
นาฬิกาของคอลเล็กชั่น Save the ocean จะเป็นการนำนาฬิกาดำน้ำในกลุ่ม Prospex มาแต่งเติมความสวยเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ที่เกี่ยวข้องกับใต้ท้องทะเล และในแต่ละรุ่นจะมีคอนเซ็ปต์ในการเพิ่มความสวยงามที่ชัดเจน เพียงแต่นาฬิการุ่นนี้เป็น Special Edition ไม่ใช่ Limited Edition ที่มีการจำกัดจำนวนการผลิตเหมือนกับคอลเล็กชั่นพิเศษอื่นๆ เช่น Zimbe โดยนาฬิกาที่ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในคอลเล็กชั่นนี้ส่วนใหญ่จะมีเป็นนาฬิกาดำน้ำรุ่นกลางๆ ของ Prospex เช่น Turtle, Smurai หรือ Diver Solar เพื่อให้ราคาสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยล่าสุดที่เป็นเวอร์ชันที่ 7 ก็เปิดตัวออกมา 2 รุ่นบนพื้นฐานของ Monster และ Mini Tuna Can ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ของ Monster และครั้งแรกของ Mini Tuna Can
ในรุ่นที่ 7 ของคอลเล็กชั่น Save the ocean นั้นมีขายด้วยกันในรุ่น SRPG57K1 หรือในญี่ปุ่นใช้รหัส SBDY105 และอีกรุ่นคือ SRPG59K1 หรือรหัส SBDY107 สำหรับเวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่า สวยทั้ง 2 รุ่น แต่ถ้าจะต้องเลือกเพียงหนึ่งเดียว คำตอบของเราคือสิ่งที่อยู่ในรีวิวครั้งนี้ เพราะ Monster ถือเป็นนาฬิกาที่ใส่ง่าย และดูสปอร์ต โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ที่เปิดตัวในปี 2019 แล้ว ตัวนาฬิกาดูสวยและลงตัวมากขึ้นในแง่ของขนาด และรูปทรงที่มีการปรับเปลี่ยนจากรุ่นเดิมในระดับหนึ่งเลย
สำหรับในรุ่นนี้มากับคอนเซ็ปต์ที่ยึดเอาความงดงามของทวีปแอนตาร์กติกาที่อยู่ทางขั้วโลกใต้ของเรามาเป็นคอนเซ็ปต์ ซึ่งแทนที่รุ่น 5 และ 6 ที่เน้นความงดงามของท้องทะเลและสัตว์ทะเลชื่อดังอย่าง Mata Ray โดยในรุ่นที่ 7 จะมากับโทนสีอ่อนที่ชวนให้ระลึกถึงความงามของทิวทัศน์ของทวีปแห่งนี้ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดทั้งปี โดยพื้นหน้าปัดของตัวนาฬิกาจะมากับการใช้โทนสีขาวและน้ำเงินที่มีการไล่เฉดจากด้านนอกที่เป็นสีเข้มเข้ามาดูด้านในที่เป็นโทนสีขาวอมฟ้า
หลายคนอาจจะบอกว่าชวนให้นึกถึง Rare Item อย่าง Snow Monster ซึ่งก็จริงอยู่ที่มีกลิ่นอายในลักษณะนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ Seiko Monster Save the ocean 7th ถือว่าสวยและมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของตัวเอง โดยเฉพาะมิติของพื้นหน้าปัดที่มีการเล่นลวดลายและมิติเพื่อให้ดูหมือนกับเป็นพื้นที่มีเกล็ดหิมะคลุมอยู่ และชวนให้นึกถึงเวอร์ชัน Ice Frost Dial ที่ ไซโก เคยเปิดตัวออกมา 2 รุ่นกับ Monster ที่ใช้กลไก 6R15 และ Baby Tuna แต่ทั้ง 2 รุ่นก็มีขายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น
นอกจากนั้นเพื่อให้เกิดความพิเศษและถือเป็นกิมมิกของนาฬิการุ่นนี้เลยก็คือ การสลักลายที่เป็นรอยเท้าของเพนกวินเอาไว้ตรงส่วนของฝั่งซ้ายในแถบ 6-12 นาฬิกา เพื่อสะท้อนถึงคอนเซ็ปต์ในการออกแบบนาฬิการุ่นนี้ และหลายคนที่ตัดสินใจซื้อนาฬิการุ่นนี้เชื่อว่าลวดลายตรงนี้แหละที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ
สำหรับนาฬิการุ่นนี้มากับสายโลหะที่เป็นมาตรฐานของ Seiko รุ่น Monster ใหม่ ซึ่งเมื่อบวกกับตัวเรือนแล้ว คงต้องบอกว่าน้ำหนักใช้ได้เลย และสำหรับคนที่อาจจะอยากลดโหลดที่กดลงมาบนข้อมือตลอดทั้งวัน ก็อาจจะสองหาสายยางที่มีความกว้างขาสาย 20 มิลลิเมตรเข้ามาทดแทนได้
ในเรื่องของความสะดวกและความสบายในการสวมใส่นั้น ต้องบอกว่า Monster ที่เหมาะและสอดรับกับเกือบทุกขนาดข้อมือ ซึ่งตัวเรือนมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.4 มิลลิเมตร แต่มี Lug to lug ที่ยาวระดับหนึ่งคือ 49.4 มิลลิเมตร ทำให้ตัวนาฬิกาเองดูลงตัวมากสำหรับข้อมือ 6.5-7 นิ้ว
ในด้านสเป็กของนาฬิกาก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจาก Monster ใหม่ที่มีขายอยู่ในตลาด คือ ใช้กระจกแบบ Hardlex และมีเลนส์นูนในตำแหน่ง 3 นาฬิกาสำหรับช่อง Day/Date ขอบตัวเรือนเป็นแบบโลหะขัดด้านสีเงิน ไม่ได้เคลือบสีดำเหมือนกับรุ่นปกติ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมว่าลงตัวและดูดีมาก เข้ากับชุดหน้าปัดอย่างลงตัว ส่วนกลไกก็คุ้นเคยกันดีในรหัส 4R36 ซึ่งเชื่อใจได้ในเรื่องความทนทาน พร้อมกำลังสำรองในระดับ 41 มิลลิเมตร
แน่นอนว่าสำหรับคนที่เป็นแฟน Seiko ที่มี Monster อยู่แล้ว เหตุผลที่จะสอยนาฬิกาเรือนนี้เข้ากรุคงไม่มีอะไรมากไปกว่าความสวยงามของรายละเอียดที่อยู่บนหน้าปัดและขอบตัวเรือนที่แปลกตาและแตกต่างจาก Monster รุ่นธรรมดา หรือรุ่นพิเศษอื่นๆ และเชื่อว่าเป็นไฟท์บังคับที่ทุกคนไม่พลาดอยู่แล้ว
ส่วนขาจรที่ผ่านไปผ่านมา และอยากได้นาฬิกาสักเรือน เชื่อเลยว่านี่คือ นาฬิกาอีกรุ่นไม่คุณไม่ควรพลาดหรือกาชื่อออกจาก List ที่จะพิจารณาเพราะเมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆ อย่างที่มีอยู่ในตัว เช่น ความสปอร์ตของตัวนาฬิกาตามแบบฉบับนาฬิกาดำน้ำ รูปลักษณ์โดยรวมและการใช้สีบนหน้าปัด บวกกับกลไกที่เชื่อใจได้นั้นกับราคาป้ายซึ่งเปิดออกมาที่ 20,900 บาทแล้ว ถือว่าคุ้มค่าและน่าสนใจทั้ง ณ ตอนนี้หรือต่อไปในอนาคตกับจังหวะที่นาฬิกา Monster หลายรุ่นเริ่มได้รับความสนใจจากนักสะสมมากขึ้น
รายละเอียดทางเทคนิค :
|
42.4 |
|
49.4 |
|
13.4 |
|
สแตนเลสสตีล |
|
แบบขันเกลียว |
|
Hardlex พร้อมเลนส์ขยายวันที่ |
|
4R36 |
|
21,600 |
|
41 |
|
+45 ถึง -35 วินาทีต่อวัน |
|
200 เมตร |
|
20,900 บาท |
- ประทับใจ : คอนเซ็ปต์ที่นำเสนอผ่านสีบนหน้าปัด ราคาเมื่อเปรียบเทียบกับสเป็ก
- ไม่ประทับใจ : ไม่มี
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/