Seiko Save The Sea Collection เพราะ -50% ทำให้เราได้เจอกัน

0

ผมเล็ง Seiko Save The Sea Collection มาตั้งแต่ออกใหม่ๆ เพราะต้องการนาฬิกาอัตโนมัติที่มีสีสันและดูแล้วลงตัว แต่ในตอนนั้นสารภาพว่า เพราะงบประมาณที่จำกัด และ Wish List มันช่างเยอะเหลือเกิน ก็เลยทำให้เราไม่ได้พบกัน จนกระทั่งโปรโมชั่น 50% Off เกิดขึ้น

Seiko Save The Sea Collection เพราะ -50% ทำให้เราได้เจอกัน
Seiko Save The Sea Collection เพราะ -50% ทำให้เราได้เจอกัน

Seiko Save The Sea Collection เพราะ -50% ทำให้เราได้เจอกัน

  • คอลเล็กชั่นเน้นสีสันการออกแบบโดยอ้างอิงจากสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล

  • นำ Spirit Smart Collection มาพัฒนาเปลี่ยนรายละเอียดหลายจุดฃ

  • ใช้กลไก 4R36 สำรองพลังงานได้ 40 ชั่วโมง

- Advertisement -

ในช่วงเวลาที่ Seiko  เดินหน้าเปิดตัวเวอร์ชัน Zimbe ออกสู่ตลาดเมื่อปี 2016 พวกเขาได้รันแคมเปญ Save The Sea ออกมาควบคู่กันด้วยเพื่อแสดงให้เห็นถึงจุดยืนของความห่วงใยที่มีต่อท้องทะเลไทย ตรงนั้นได้ถูกต่อยอดและการนำไปสู่การเปิดตัว Special Edition ชื่อเดียวกันออกมา โดยมีนาฬิกาในชุดรวมทั้งหมด 6 รุ่นพร้อมกับสร้างคอนเซ็ปต์ในการออกแบบนาฬิกาให้สอดคล้องกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในท้องทะเล

ยอมรับครับว่าตอนที่เปิดตัว ผมค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับ Save The Sea Collection นี้มาก เพราะน่าจะเป็นในรอบหลายๆ ปีที่ได้เห็นนาฬิกาของ Seiko มีสีสันเป็นลูกกวาดเหมือนกับพวก Baby-G ของ Casio และอย่างน้อยก็เป็นยืนยันว่า Seiko เริ่มหันมามองคนรุ่นใหม่ และไม่ใช่นาฬิกาคนสูงวัยเหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจกันมาโดยตลอด

แต่ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เท่าที่เห็นกระแสในกลุ่ม FB ผมว่า Collection นี้ทำตลาดได้ดีในช่วงแรกกับเพียงไม่กี่รุ่น แต่หลังจากนั้นเงียบหายอย่างรวดเร็ว และมีเพียง 2 รุ่นเท่านั้นที่ถูกพูดถึงและขายดี คือ ปักเป้าในรหัส SPRA37J1 และปลาโลมาในรหัส SPRA35J1 ซึ่งทั้งคู่เป็นสีโทนเทา-ขาว สวยแบบเรียบๆ ส่วนอีก 4 รุ่นที่เน้นสีสัน คำตอบคือ ไม่ค่อยเห็นใครใส่เท่าไร แต่ก็ดีแล้วนะครับที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่อย่างนั้นตอนที่มีโปรโมชั่น 50% Off ผมคงต้องรีบบึ่งออกไปแย่งกับใครต่อใคร

ใน Save The Sea Collection สีที่ตัวเองเล็งเอาไว้นั้น คือ กระเบน หรือ SRPA43J1 ที่มากับสีฟ้าเข้ม ซึ่งบอกเลยว่าตอนที่ได้เห็นครั้งแรก เจ้านี่ กับม้าน้ำในรหัส SRPA39J1 คือ 2 สีที่ผมคิดว่าสวยสุดในบรรดา Save The Sea Collection…หรือผมจะรสนิยมแปลกๆ หว่า

แต่อย่างที่บอกครับ ดีแล้วที่ผมชอบอะไรแปลกๆ และก็ดีแล้วที่รู้ว่า Save The Sea Collection ถูกนำมาลดราคา 50% ที่ The Mall ทำให้ราคาเดิมจากป้าย 12,800 บาทเหลือแค่ 6,400 บาท ซึ่งทำให้ผมได้สมใจกับเจ้ากระเบนกันสักที เพราะในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะพยายามหาแล้ว แต่ราคาลดจากป้ายก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่หลักพันปลายๆ เฉียดๆ หมื่นอยู่ดี

สำหรับนาฬิกาในเซ็ตนี้ ใครที่คิดว่า Seiko ยังเล่นยาก จัดการพัฒนา Save The Sea Collection ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด อันนี้คงต้องบอกว่า ไม่ใช่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เล่นอะไรง่ายๆ ถึงขนาดไม่ทำอะไรเลย เพราะ Save The Sea Collection เป็นการนำนาฬิกาตระกูล Smart Spirit ที่เป็น Limited Edition ที่เป็น JDM ของ Seiko Japan มาออกแบบใหม่ ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านตากับ x Nano Universe กันมาบ้างแล้ว นั่นแหละคือร่างเริ่มต้นของ Save The Sea Collection

และก็อย่างที่บอกเอาไว้ครับ Seiko ไม่ได้ทำอะไรง่ายจนเกินไปแบบยกยวงมาทั้งชุดแล้วแค่เปลี่ยนสี และพิมพ์คำว่า Special Edition บนฝาหลังเท่านั้น แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ยังเปลี่ยนหน้าปัด แล้วก็ชุดเข็ม ฝาหลัง รวมถึงกลไก ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้คอลเล็กชั่นนี้มีอะไรที่พิเศษขึ้นมาหน่อย

ตัวนาฬิกาเป็นการพัฒนาบน Spirit Smart Collection ที่เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือลูกค้าที่วัยรุ่น หรืออาจจะ Young at Heart แบบผม นาฬิการุ่นนี้มากับตัวเรือนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 45 มิลลิเมตร หนา 13.3 มิลลิเมตร แต่กลับดูไม่เทอะทะ อาจจะเป็นเพราะการออกแบบให้ตัวเรือนมีลักษณะเว้าลงทางด้านล่าง คือเมื่อมองจากด้านข้างแล้วคุณจะไม่เห็นตัวเรือนตัดตรงดิ่งเป็นแท่ง และจะเอียงและเว้าลงไปทางด้านล่าง ที่สำคัญตัวนาฬิกาเป็นพวกขาสั้น

ประเด็นนี้สำหรับผมถือว่ามีส่วนในการที่จะทำให้นาฬิกากับข้อมือคนใส่มีความสมดุลหรือเกิดอาการ ‘กาง’ หรือไม่ ซึ่งจากการที่ Seiko Save The Sea Collection ขาสั้นก็เลยทำให้ Lug-to-Lug ของตัวนาฬิกาสั้นตามไปด้วย และเมื่อมองจากด้านบนแบบเร็วบางคนอาจจะคิดว่านาฬิการุ่นนี้เป็นทรงกระป๋องเหมือน Tuna Can หรือเปล่า และจากการที่ตัวเลขของ Lug-to-Lug อยู่แค่ 45 มิลลิเมตรโดยประมาณ ตัวนาฬิกาก็เลยดูไม่ใหญ่จนเกินไป

เอาเป็นว่าผมคิดว่าระดับข้อมือสัก 6 นิ้วนิดๆ เป็นต้นไปถือว่า Save The Sea Collection น่าจะสอบผ่าน และนี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมนำนาฬิกาขึ้นทาบบนข้อแล้วไม่รู้สึกว่าเล็กจนเกินไปแต่อย่างใด ทั้งที่นาฬิกาซึ่งมี Lug-to-Lug ที่ต่ำกว่า 48 มิลลิเมตรกับผมมักจะมีปัญหากันโดยตลอด

ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะผมเปลี่ยนสายจาก Stainless Steel มาเป็นนาโต้ และความกลมกลืนของสีบวกกับความบวมของสายอันมาจากปลายสายที่ถูกพับเก็บช่วยทำให้พื้นที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวนาฬิกาดูมีเพิ่มขึ้นกว่าการใส่สายประเภทอื่นๆ และอีกปัจจัยที่มีผลมากๆ คือ ความชอบส่วนตัว

อย่างที่บอกว่า Seiko Save The Sea Collection มีการปรับปรุงในหลายจุดจากรุ่น Nano Universe ซึ่งตรงนี้คุณสัมผัสได้เลยจากชุดเข็ม และหน้าปัดที่เดี๋ยวนะ…คุ้นๆ ใช่แล้ว มันได้รับอิทธิผลมาจาก Seiko Turtle Re-Issue เพราะถอดแบบกันมาเดะ และจากการเปลี่ยนกลไกจาก 4R35 ในรุ่น Nano Universe มาเป็น 4R36 ก็เลยทำให้ช่องวันที่ถูกขยายจาก Date มาเป็น Day/Date ไปโดยปริยาย

อ่อและอีกเรื่องคือ สำหรับคนที่ชอบคำว่า Made in Japan นั้น Seiko Save The Sea Collection มีคำนี้อยู่บนตำแหน่ง 6 นาฬิกาบนหน้าปัดนะ ส่วนตัวผม คำนี้ไม่ได้มีผลอะไรทั้งสิ้น

สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างขัดใจในนาฬิกา Collection นี้เห็นจะเป็นความไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ขณะที่ตัวเรือนด้านล่างและเม็ดมะยมมาในแบบยิงทรายแบบด้าน แต่ส่วนที่เป็นตัวรัดสายของสายนาโต้กลับมันแวบเลย และอีกส่วนคือ ตัวอักษรคำว่า ‘Special Edition’ ที่แปะหราอยู่บนฝาหลังแบบใสรวมถึงข้อความต่างๆ ของ Seiko จนรู้สึกขัดสายตา

จริงอยู่คุณอาจจะบอกว่า 4R36 มันก็แค่กลไกแบบ Mass คงไม่ได้มีการขัดแต่งอะไรมากมายให้ดูสวยหรือเพลินตา ซึ่งผมก็คงบอกว่า ตัวเองไม่ได้ติดอะไร แต่ขัดใจตรงที่ว่า ในเมื่อจะทำฝาหลังให้ใสมาแล้ว เราก็ควรจะโชว์มันให้เต็มที่ไม่ใช่หรือ และถ้าต้องการโชว์คำว่า Special Edition ผมว่าก็ติดฟิล์มทึบและเพนต์คำนี้ลงไปในตำแหน่งเดียวกันเหมือนกับ ที่ทำใน Nano Universe จะเข้าท่าว่า ส่วนเรื่องที่ Bezel เป็นพลาสติกสีด้านๆ และหมุนในแบบ 2 ทางได้นั้น ตรงนี้ผมไม่ติดใจอะไรนะ แต่กลับชอบเสียอีก

ส่วนอีกประเด็นที่ขัดใจเล็กๆ แต่ไม่ถึงกับมาก คือ ในเมื่อ Save The Sea Collection เป็นอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับทะเลและการดำน้ำ พวกเขาน่าจะสร้างคอลเล็กชั่นนี้จากนาฬิกาดำน้ำ หรือปรับปรุงในเจ้านี่มีความสามารถในเชิงการเป็น Diving Watch แต่กลายเป็นว่าเป็นนาฬิกาปกติ ระดับการกันน้ำ 100 เมตร เม็ดมะยมแบบดึงไม่ใช่ขันเกลียว อาจจะดูแล้วจุกจิก แต่ผมว่าไหนๆ จะทำแล้วมันก็น่าจะมีการเชื่อมโยงกันที่มากกว่าแค่สีสันที่เหมือนกันของสัตว์ทะเลที่เลือกมา

อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่กระแส 50% Off กำลังระอุอยู่นั้นสะท้อนอะไรบางอย่างออกมาให้เห็นแวบๆ ซึ่งดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ ‘อาจ’ จะไม่ได้ติดใจอะไรชอบ Seiko Save The Sea Collection แต่พวกเขาแค่รู้สึกว่ากับหน้าตาแบบนี้และสเป็กแบบนี้มันแพงเกินไปหรือเปล่ากับราคาป้าย 12,800 บาท ถ้าไม่นับการซื้อตามเคาน์เตอร์ที่ได้ส่วนลดแค่ 15% แม้ว่าเราจะสามารถหาตามร้านข้างนอกได้ในราคาหักส่วนลดแล้วเหลือ 7,800 บาทหรือร่วมๆ 35%  แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่ทรงพลังเท่ากับตัวเลข 6,400 บาทจากโปรโมชั่น 50% Off ทั้งที่ส่วนต่างก็แค่ 1,400 บาทเท่านั้นเอง และหลังจากที่มีข่าวออกมา ก็มีคนมาตามหาตามเคาน์เตอร์ Seiko ใน The Mall กันเยอะเหมือนกัน ขนาดผมกำลังรอจ่ายเงินเจ้ากระเบนอยู่ก็มีลูกค้า 4-5 คนมาเล็งๆ รุ่นที่เหลืออยู่ และจากโพสต์ในกลุ่ม FB ก็มีคนออกมาเดินหาหรือฝากสมาชิกในกลุ่มซื้อเหมือนกัน

ถ้าให้สรุปตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แสดงว่า Seiko Save The Sea Collection สอบผ่านในแง่ความสวยของการออกแบบ เพราะสำหรับคนที่ไม่ชอบ (ไม่นับพ่อค้า หรือคนซื้อไปขายต่อ) ถึงมีป้าย 70-80% Off แปะอยู่ ผมก็เชื่อว่ายังไงเค้าก็ไม่ยอมจ่ายเงินหรอก ต่อให้ลดหนักขนาดไหนก็ตาม

ข้อมูลทางเทคนิค : Seiko Save The Sea Collection

  • เส้นผ่านศูนย์กลาง : 45 มิลลิเมตร
  • Lug-to-Lug : 45 มิลลิเมตร
  • ความหนา : 13.3 มิลลิเมตร
  • ความกว้างขาสาย : 22 มิลลิเมตร
  • กระจก : Hardlex
  • ตัวเรือน /Bezel : Stainless Steel แบบขัดทราย / พลาสติก
  • สาย : Stainless Steel / นาโต้
  • ระดับการกันน้ำ : 100 เมตร
  • กลไก : 4R36 Day/Date ทับทิม 24 เม็ด
  • สำรองพลังงาน : 40 ชั่วโมง
  • ประทับใจ                สีสัน การออกแบบ
  • ไม่ประทับใจ           ฝาหลังใสแต่มีคำว่า Special Edition แปะจนเต็ม ตัวรัดสายนาโต้แบบเงาวับ คอนเซ็ปต์นาฬิกาเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ตัวนาฬิกาดันไม่ใช่พวกดำน้ำ