ถ้าเปรียบเทียบกับนาฬิกาหลายๆ รุ่นของ Seiko ที่อยู่ในตลาด เชื่อว่า 15 ปีที่ Seiko Prospex Diver Scuba หรือ Sumo อยู่ในตลาดกับการผลิต Limited Edition และ Special Edition ออกมาเพียงแค่ 8 รุ่น เราถือว่าน้อยกว่าที่คิด (เมื่อมองในแง่ของการเป็น Seiko ที่มี Limited Edition ออกถี่เหลือเกิน) และนี่คือเรื่องราวของ บรรดารุ่นพิเศษเหล่านี้
Seiko Prospex Sumo กับ 8 Limited ที่อยู่ในตลาด
ทิ้งระยะไปนานหน่อยนะครับ สำหรับตอนต่อเนื่องที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Seiko Prospex Diver Scuba หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ตามหน้าตาของมันว่า Seiko Sumo ซึ่งต้องยอมรับว่าตลอดเวลาที่ทำตลาดมา 10 กว่าปี Seiko ขยับตลาดในกลุ่มนี้น้อยถึงน้อยมาก เรียกว่าไม่ใช่แค่รุ่นธรรมดาเท่านั้นที่ยกมือขึ้นมาแค่มือเดียวแล้วนับได้จนครบ รุ่น Limited Edition ก็น้อยไม่แพ้กัน เรียกว่าผิดวิสัย Seiko เจ้าแห่ง Limited Edition จริงๆ
เอาละในวันนี้เรามาดูกันว่า Seiko ผลิตรุ่นอะไรของ Sumo ออกมากินเงินบรรดาแฟนๆ กันบ้าง
-Seiko Prospex SBDC017 – Yellow Sumo : ผลิตออกมาจำนวน 750 เรือนเท่านั้น และเริ่มวางขายเมื่อกลางปี 2011 โดยอวดโฉมครั้งแรกในเมืองไทยที่งาน Central International Watch Fair และถือเป็น Limited Edition รุ่นแรกของ Sumo เลยก็ว่าได้หลังจากที่ทำตลาดแค่ ดำ-น้ำเงิน-ส้มมาโดยตลอด โดยสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากรุ่นปกติ คือ กระจกหน้าแบบ Sapphire พร้อมกับเลนส์นูน Cyclop ที่ตรงช่องวันที่ (Date) โดยในส่วนของหน้าปัดและขอบ Bezel เปลี่ยนเป็นสีเหลืองดูสวยสะดุดตา และนอกจากนั้นยังมีแพ็คเกจที่อลังการ ด้วยกล่องแบบหีบเหล็กที่เมื่อเปิดขึ้นมาจะนาฬิกาสายเหล็ก พร้อมกับสายยางสีดำติดมาให้ด้วย ราคาเปิดตัวออกมาในตอนนั้นถือว่าไม่แรงเท่าไรเมื่อเทียบกับรุ่นธรรมดาที่มีราคาป้ายอยู่ที่ 25,000 บาท แต่สำหรับ Yellow Sumo ตั้งเอาไว้ที่ 30,000 บาท
สถานการณ์ : เดี๋ยวนี้อะไรที่เป็นหน้าปัดเหลือง กลายเป็นของหายากและเป็นของสะสมที่ถูกอัพให้ราคาขยับขึ้น จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ผมจะปล่อย Darth Tuna SBBN013 ในราคา 39,000 บาท เคยมีคนยื่นข้อเสนอนำ Yellow Sumo มาเทรดแถมเพิ่มเงินให้อีกด้วย แต่นั่นมันเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ถ้าเป็นตอนนี้ผมต้องเป็นฝ่ายเพิ่มเงินแทน และน่าจะอีกหลายหมื่นด้วย
-Seiko Prospex SBDC019 – Green Sumo : เมื่อก่อน ราคาตั้งแพงกว่า (32,000 บาทโดยประมาณ) เพราะตัวเรือนและสายเคลือบ PVD และผลิตน้อยกว่า เพียง 550 เรือนเท่านั้น ทำให้ราคามือสองของ Green Sumo สูงกว่า Yellow Sumo แต่สำหรับตอนนี้ไม่ใช่ละ นาฬิการุ่นนี้เปิดตัวออกมาในปี 2011 ในวาระของการฉลองครบรอบ 130 ปีของการก่อตั้งแบรนด์ Seiko ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับ Yellow Sumo และในแง่ของสเป็กก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเดิม ยังใช้กลไก 6R15 และกระจกแบบ Sapphire พร้อมเลนส์นูน Cyclop ส่วนหน้าปัดเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม สลับกับขอบ Bezel สีน้ำเงินเข้มตัดกับสีเหลือง ในชุดมากับกล่องแบบเดียวกับ Yellow Sumo และมีสายยางโทนสีเขียวอ่อนคล้ายกับหน้าปัดแถมมาให้ด้วย
สถานการณ์ : ถ้าเงินถึงก็ยังพอหาได้ในราคาที่ไม่พุ่งราวติดจรวดเหมือนกับ Yellow Sumo มือสองของครบๆ สภาพดีๆ ไม่น่าเกิน 50,000 บาท
-Seiko Prospex SPB029J1 – Silver Sumo : บรรดาแฟนๆ Seiko รุ่นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับกลุ่มใน facebook หลายคนน่าจะทัน เพราะเป็นรุ่นที่ผลิตและขายเฉพาะใน King Power เท่านั้นในวาระของการครบรอบ 50 ปีการผลิตนาฬิกาดำน้ำของ Seiko เมื่อปี 2015 เช่นเดียวกับที่ King Power ครบรอบ 25 ปี ตัวนาฬิกาไม่ได้ใช้รหัสเดียวกับ Sumo รุ่นอื่นๆ และมีการผลิตออกมาจำนวน 1,965 เรือนตามปีที่ Seiko ผลิตนาฬิกาดำน้ำเรือนแรกออกสู่ตลาด โดยสิ่งที่แตกต่างออกไปคือ ในรุ่นนี้หน้าปัดมาในแบบสีเงินพร้อมกับลายคลื่นดูสวยสะดุดตา และมีการแถมแว่นดำน้ำและสายยางมาให้ในเซ็ตโดยตั้งราคาไว้ที่ 33,500 บาท พร้อมส่วนลดอันน้อยนิด แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าความจืดของโทนสี ทำให้ยอดขายแทบไม่วิ่ง และสุดท้ายทาง King Power นำออกมาลดราคาแบบสุดๆ ที่ 19,900 บาท ซึ่งบางคนสามารถหาได้ถูกกว่านั้นอีก ทำให้บรรดาคนที่ซื้อก่อนติดดอยกันเป็นแถว
สถานการณ์ : ถ้าคุณซื้อในราคา 19,900 บาท ก็ต้องบอกว่ายินดีด้วย เพราะในตอนนี้ราคามือสองของ Silver Sumo ป้วนเปี้ยนอยู่ที่ 30,000 บาท ส่วนใครที่ซื้อราคาเต็มตามป้ายมา อย่างน้อยถ้าปล่อยตอนนี้ก็ถือว่ากำไรใส่ก็แล้วกัน
-Seiko Prospex SBDC027 – Sumo 50 ปีหน้าดำ : ในช่วงของการฉลอง 50 ปีของการผลิตนาฬิกาดำน้ำของ Seiko เมื่อปี 2015 ทาง Seiko เองมีการผลิต Sumo ออกมา 2 แบบ ซึ่งแบบแรกคือ Sumo หน้าดำที่เป็น Limited Edition สำหรับตลาดญี่ปุ่น ซึ่งมีจำนวนเพียง 2,000 เรือนเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ถือเป็นอีกเรือนที่น่าเสียดายเหมือนกัน เพราะช่วงที่เปิดตัวออกมาใหม่ๆ เราได้เห็นของหิ้วขายกันระดับราคา 22,000-24,000 บาท จากราคาป้ายของญี่ปุ่น 80,000 เยน หรือราวๆ 24,000 บาท ส่วนเมืองไทย ทาง Seiko เองก็มีเข้ามาขายด้วยเช่นกัน และราคาจะขยับขึ้นมาหน่อย สิ่งที่ทำให้ Sumo รุ่นนี้ได้รับความนิยมและถูกตามหาบ่อยคือ ความพิเศษทั้งเรื่องของชุดเข็ม หน้าปัด และขอบ Bezel ที่มีการออกแบบใหม่หมด จนแตกต่างจาก Seiko รุ่นธรรมดา และมีการนำเทคโนโลยีการเคลือบแบบ DiaShield มาใช้ทำให้ทนทานต่อการขูดขีดได้มากขึ้น และมีการใช้กระจก Sapphire แต่ไม่มี Cyclop
สถานการณ์ : เป็นอีกรุ่นที่เราเห็นคนประกาศตามหาอยู่บ่อยๆ และราคามือสองตอนนี้น่าจะขยับขึ้นขึ้นไปเกิน 30,000 บาทแล้วสำหรับสภาพปานกลาง และน่าจะถึง 40,000 บาทสำหรับพวก LNIB
-Seiko Prospex SPB031J1 – Sumo 50 ปีหน้าเขียว : เปิดตัวตามหลังรุ่น 50 ปีเวอร์ชันญี่ปุ่นไม่นาน เป็นเวอร์ชันสำหรับตลาดเมืองไทย และมากับโทนสีแบบสุดๆ เขียวปีกแมลงทับผสมกับสีทองของเม็ดมะยมและฟอนต์บนหน้าปัดและขอบ Bezel ผลิตออกมาเพียง 820 เรือน และแน่นอนว่าขายหมดในเวลาไม่นาน แม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้ดึงดูดมากเท่ากับรุ่นเวอร์ชันญี่ปุ่น
สถานการณ์ : ยังพอหาได้ และราคาขยับจากราคาป้ายไม่มาก น่าจะอยู่ราวๆ 35,000-40,000 บาทสำหรับของใหม่
-Seiko Prospex SBDC049 – Sumo PADI : พร้อมๆ กับการเปิดตัว MM300 Quartz ที่เป็น Tuna Can เมื่อต้นปี 2017 ถือเป็น Sumo PADI ที่มากับความแตกต่างในด้านหน้าตาพร้อมกับความลงตัวที่มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของชุดเข็มนาทีและวินาทีที่เป็นสีแดง ผลิตเพียง 1,000 เรือนและเป็น JDM สำหรับขายในญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายที่กระจกยังเป็นแบบ Hardlex ไม่ได้เปลี่ยนเป็น Sapphire
สถานการณ์ : ยังพอหาได้ ราคาของใหม่บวกลบ 30,000 บาท จากเดิมที่คาดว่าน่าจะขายหมดและหายาก
-Seiko Prospex SPB055J – Sumo Zimbe : เปิดตัวเมื่อกลางปี 2017 เป็น Limited ที่บ้านเรา โดยเป็นหนึ่งในคอลเล็กชั่น Zimbe ของ Seiko ที่เปิดตัวมาแล้วก่อนหน้านี้ 3 รุ่น และ Sumo Zimbe ถือเป็นรุ่นที่ 4 โดยตัวเรือนมาในแบบรมดำ Black IP Coating กระจก Sapphire และเล่นสีบนหน้าปัดกับขอบ Bezel และเม็ดมะยมในโทนสีน้ำเงิน สีม่วง และสีทองตามลำดับโดยอ้างอิงคอนเซปต์ของปรากฏการณ์ทะเลเรืองแสง ผลิตเพียง 1,639 เรือน
สถานการณ์ : ไม่ฮ็อตอย่างที่คิด กับราคาป้าย 30,000 บาทและส่วนลดไม่เยอะ ทำให้ในช่วงแรก การตามหาของมือ 1 ต้องกำเงินต่ำกว่า 30,000 บาทนิดหน่อยเท่านั้น แต่พักหลังเห็นมีการระบายสต็อค ทำให้ส่วนลดเริ่มเยอะขึ้น และทำให้เราได้เห็นของมือ 1 ในราคา 25,000-26,000 บาท
-Seiko Prospex SZSC004 – Green JDM Sumo : เป็นคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี 2018 นี้เอง และเอาใจตลาดสำหรับปีนี้ที่สีเขียวมาแรง โดยทาง Seiko เองเปิดตัวออกมาพร้อมกับ Mosnter JDM ที่ใช้กลไก 6R15 เหมือนกันและเป็น JDM ที่ผลิตขายเฉพาะในตลาดญี่ปุ่น (และเราเชื่อว่าถูกกวาดต้อนมาอยู่ในเมืองไทยค่อนข้างเยอะ) บวกกับความฮ็อตก็เลยทำให้คนให้ความสนใจมาก และทำให้ราคาขายในบ้านเราขยับขึ้นสูงจากที่ควรจะเป็น ซึ่งปกติแล้วราคาตั้งแพงกว่า Sumo รุ่นปกตินิดเดียว โดยอยู่ที่ 64,800 เยน ส่วนความแตกต่างจากรุ่นธรรมดาแทบมองไม่เห็นนอกจากสีหน้าปัด และเข็มวินาที
สถานการณ์ : ราคามาแบบจัดเต็มไม่มีส่วนลด ซึ่งตั้งเอาไว้ที่ 24,000 บาทโดยประมาณ และก็ขายหมดอย่างรวดเร็ว ชนิดที่หาของในตลาดลำบากแล้ว แต่ถ้าคุณไม่คิดมากก็สั่งผ่านพวกร้านออนไลน์ในญี่ปุ่นก็ได้ ของยังมีให้เห็น
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigiwatch/