Seiko เปิดตัว Black Series รุ่นใหม่ออกมาแล้วกับเวอร์ชันพิเศษที่เรียกว่า Night Vision โดยมีจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่นย่อย แต่ที่เราสนใจและโดนใจอย่างมากคือ Seiko Prospex SRPH99K Black Series Night Vision ที่ใช้พื้นฐานของรุ่น Land Tortoise โดยบ้านเรามีเข้ามาเพียง 130 เรือนเท่านั้น
Seiko Prospex SRPH99K Black Series Night Vision อีกทางเลือกของเต่าบกที่ไม่ควรพลาด
-
นาฬิการุ่นใหม่ของคอลเล็กชั่น Black Series ที่มาพร้อมเวอร์ชันพิเศษ Night Vision
-
มีจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่นและรุ่นที่น่าสนใจคือ SRPH99K ที่มีการผลิตรวมทั้งสิ้น 7,000 เรือนทั่วโลก
-
ราคาอยู่ที่ 22,000 บาท และเข้ามาบ้านเราแค่ 130 เรือนเท่านั้น
ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ไม่น้อยสำหรับปีนี้ที่ Seiko เปิดตัว Black Series ออกมาในช่วงเวลาที่ถี่และไล่เลี่ยกันอย่างมาก เพราะหลังจากที่เปิดตัวเวอร์ชันที่มากับนาฬิกาดำน้ำประเภทรองท็อปออกมาเมื่อต้นปี 2022 ในช่วงกลางปี ทางแบรนด์ได้เปิดตัว Black Series ออกมาอีกเวอร์ชัน ชนิดไม่เกรงใจกระเป๋าเงินแฟนๆ เลย แต่เพื่อไม่ให้เป็นการทับซ้อนกันจนเกินไป Seiko ก็เลยต้องปรับแนวคิดด้วยการนำเสนอคอนเซ็ปต์ย่อยออกมา ซึ่งจากเดิมเป็นการดำน้ำในยามค่ำคืน ก็เปลี่ยนมาเป็นการยกพลขึ้นบกเพื่อสัมผัสความงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนและใช้ชื่อรุ่นว่า Seiko Prospex Black Series Night Vision
นาฬิกาเซ็ตนี้เปิดตัวออกมา 3 รุ่นย่อย และเลือกนำเอานาฬิกาในตระกูล Prospex ของ Seiko มาเป็นร่างต้นแบบในการนำเสนอเช่นเคย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาเลือกหยิบหนึ่งในนั้นเป็นนาฬิกาที่ไม่เป็นที่มาของรีวิวครั้งนี้ ที่เราเลือกเอา Seiko Prospex SRPH99K มาทำสัมผัสความสวยงามและจัดเป็นรีวิวสำหรับใครที่กำลังลังเลว่าจะสอยหรือไม่สอยดี
ผมเชื่อนะครับว่าคำถามแรกที่หลายคนอาจจะอยากตั้งขึ้นมาคือ ในเมื่อมากับคอนเซ็ปต์ที่ขึ้นบก แต่ทำไม 2 ใน 3 ของนาฬิกาในเซ็ตนี้ยังเป็นพวกนาฬิกาดำน้ำอยู่ ถ้าให้วิเคราะห์จากที่สิ่งที่มีอยู่ในมือ
ข้อแรก คือ ต้องยอมรับความจริงที่ว่านาฬิกาในกลุ่ม Prospex ที่ขายอยู่ในตลาดส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มดำน้ำ
ข้อสองคือ ความเสี่ยง เพราะการเลือกรุ่นนาฬิกามาทำเป็นรุ่นพิเศษต้องคิดให้รอบด้าน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่ว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าในระดับไหน
ดังนั้น นาฬิกา Prospex ในกลุ่มอื่นๆ เช่น Land และ Air ยิ่งมีตัวเลือกน้อยอยู่แล้ว ครั้นจะเอามาฝืนทำเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ แต่อาจจะขายไม่ดีก็เป็นได้ ส่วนในกลุ่มอื่นๆ ก็มีทางเลือกของรุ่นไม่มาก
ดังนั้น ผมคิดว่า Seiko เลือกลดความเสี่ยงด้วยการใช้นาฬิกาดำน้ำที่บางรุ่นมีหน้าตาดูดีและเข้าได้ทั้งคอนเซ็ปต์เอาท์ดอร์ หรืออันเดอร์วอเตอร์มาทำแทน น่าจะดีกว่า
เช่นเดียวกับหลายรุ่นที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ Black Series Night Vision เป็นนาฬิกาที่มีการผลิตจำกัด โดยมีขายด้วยกัน 3 รุ่นย่อย คือ
King Samurai ในรหัส SBDY119 สำหรับตลาดญี่ปุ่น และรหัสนี้จะมีขายในญี่ปุ่น 300 เรือนจากที่ผลิตทั่วโลกทั้งหมด 8,000 เรือน โดยส่วนที่เหลือจะมีจำหน่ายในรหัส SRPH97K มีขนาดตัวเรือน 43.5 มิลลิเมตร พร้อมกลไกอัตโนมัติ 4R35 ที่สามารถสำรองกำลังงานได้ 41 ชั่วโมง
Land Tortoise หรือเต่าบกซึ่งเป็นนาฬิกาที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานเอาท์ดอร์กลางแจ้งโดยมีรูปทรงคล้ายกับเต่า หรือ Turtle ที่เป็นนาฬิกาดำน้ำคลาสสิคของ Seiko และเช่นกันในรุ่นนี้จะมีการแบ่งออกเป็นรหัสญี่ปุ่นคือ SBDY121 จำนวน 300 เรือนจากจำนวนการผลิตทั้งหมด 7,000 เรือน และที่เหลือจะใช้รหัส SRPH99K ตัวเรือนมีขนาด 42.4 มิลลิเมตร พร้อมกลไก 4R35 ที่สามารถสำรองกำลังงานได้ 41 ชั่วโมง
และอีกรุ่นเป็น Diver Solar ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกกินแสง หรือ SOLAR มีรหัสในญี่ปุ่นคือ SBDN081 มีจำหน่าย 300 เรือนจากจำนวนการผลิตทั้งหมด 6,000 เรือน ซึ่งที่เหลือจะเป็นรหัส SNE587P มีขนาดตัวเรือน 38.6 มิลลเมตร พร้อมสายสตีล และขับเคลื่อนด้วยกลไกควอตซ์แบบ SOLAR ในรหัส V147
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับคอลเล็กชั่นนี้และเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปคือ การเคลือบหลักชั่วโมงด้วยสารเรืองแสงสีเขียว แทนที่จะเป็นสีส้มเหมือนกับหลายรุ่นที่ผ่านมาตามคอนเซ็ปต์การดำน้ำยามค่ำคืน สารที่นำมาใช้เป็นใช้ Highly Bright Green Lumibrite แบบพิเศษ
ซึ่งสารรุ่นนี้ให้ประกายเป็นสีเขียวซึ่งสามารถส่องสว่างในพื้นที่แสงน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและยาวนานกว่าเดิม เหมือนเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสวยงามของแสงจากท้องฟ้าในค่ำคืนอันมืดมิด ที่อาจมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้พบความสวยงามพิเศษแบบนี้ อันเป็นคอนเซ็ปต์ของ Black Series
ตัวเรือนยังคงคอนเซ็ปต์เคลือบดำเพื่อเข้ากับแนวคิด Black Series ที่ชอบทำอะไรตอนกลางคืน โดยชิ้นส่วนทั้งหมดของตัวนาฬิกาจะถูกเปลี่ยนเป็นสีดำล้วนด้วยกรรมวิธีแบบ Hard Coating และมีพื้นผิวแบบด้าน Matt Surface โดยพื้นผิวที่แตกต่างเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างมิติให้กับตัวเรือนนาฬิกาอย่างแท้จริง
หน้าปัดของ The Black Series “Night Vision” Limited Edition นั้นได้รับการตกแต่งด้วยพื้นผิวแบบด้าน เพื่อเป็นการลดการสะท้อนแสงบนพื้นหน้าปัด และช่วยขับให้องค์ประกอบต่างๆ บนหน้าปัดดูลอยขึ้นมาเหมือนการมองแบบ 3 มิติ และยังช่วยให้ Lumibrite ได้ทำหน้าที่ส่องสว่างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ชัดเจนและแสดงให้เห็นถึงความสวยงามในยามค่ำคืน
ทุกรุ่นมากับสายยาง หรือไม่ก็สายผ้าหุ้มหนัง บัคเคิลดำ ยกเว้น SNE587P ที่เป็นสายสแตนเลสสตีลแบบเคลือบ PVD
ผมเลือก Seiko Prospex SRPH99K เพราะนี่คือ Black Series รุ่นแรกที่ไม่ได้สายตรงมาจากนาฬิกาดำน้ำ และอีกเหตุผลคือ ผมยังไม่เคยจับนาฬิการุ่นนี้มาก่อนเลยทั้งที่ตอนเปิดตัวรุ่นธรรมดาก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะต้องโดนสักหน่อย สุดท้ายก็พลาดมาตลอด เอาเข้าจริงๆ ผมชอบ SRPH97K หรือ King Samurai เพราะทุกองค์ประกอบลงตัวมากสในแง่ความสวยงาม แต่ติดตรงที่ว่าผมไปต้องตาต้องใจเวอร์ชันอื่นของ King Samurai อยู่แล้ว ก็เลยต้องปล่อยเรือนนี้ไป และหันมาหา Field Turtle ที่ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสแทน
เหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ตัดสินใจซื้อ Land Tortoise ตั้งแต่เปิดตัวออกมาในครั้งแรก ถ้าไม่นับเรื่องงบประมาณที่ร่อยหรอไป อีกเหตุผลคือ ความไม่มั่นใจกับขนาดตัวเรือน ซึ่งเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.4 มิลลิเมตร บวกกับ Lug to Lug ในระดับ 45.2 มิลลิเมตร ความคิดของผมในตอนนี้บอกอย่างเดียวว่าไม่ผ่านกับข้อมือตัวเองแน่นอน ก็เลยไม่คิดที่จะลอง…และเป็นอีกครั้งที่ผมคิดผิด
และก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเวลาผ่านมาประมาณ 2 ปีวิธีคิดและมุมมองของผมที่มีต่อนาฬิกาซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือน 42 มิลลิเมตรหรือต่ำกว่าจะเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ กลายเป็นว่า ผมไม่ค่อยกังวลกับตัวเลขตรงนี้มากเท่ากับเมื่อก่อนแล้ว ตราบใดที่มีปัจจัยอื่นๆ เข้ามามีส่วนเอื้อต่อความสวยงามเวลาอยู่บนข้อมือ เช่น ดีไซน์และรูปทรง ความหนา และ Lug to Lug ของตัวนาฬิกา ซึ่ง Land Tortoise คือ หนึ่งในนาฬิกาเหล่านี้ที่สอบผ่านในแง่ความรู้สึกผม
ตัวเรือน 42.5 มิลลิเมตรบวกกับตัวเลขของ Lug to Lug และรูปทรงที่ออกอ้วนป้อมคล้ายกับกระดองเต่า เช่นเดียวกับการวางเม็ดมะยมเอาไว้ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา ถือเป็นองค์ประกอบโดยรวมของตัวนาฬิกาที่ผมคิดว่าลงตัวที่สุด และเหมาะกับข้อมือในเกือบทุกขนาดเลย เรียกว่ากินทั้งกลุ่มสาวๆ ข้อมือใหญ่ หนุ่มๆ ข้อมือเล็ก รวมถึงพวกที่มีข้อมือใหญ่อย่างผม
แม้ว่าจะมีรูปทรงเหมือนนาฬิกาดำน้ำแต่สิ่งที่ทำให้ Field Turtle แตกต่างออกไป คือ ขอบตัวเรือนที่เป็นแบบหมุนได้ 2 ทิศทางและมีสเกลเป็นการบอกทิศ เพื่อให้นาฬิกาทำหน้าที่เป็นเข็มทิศในการบอกเส้นทางได้ ขณะที่เมื่อพลิกด้านหลัง จะพบกับฝาหลังแบบขันเกลียวที่มีการสลักสัญลักษณ์เพื่อให้ผู้ขอความช่วยเหลือวางเรียงในการสื่อสารให้กับหน่วยกู้ภัยทางอากาศได้รับทราบ ซึ่งเป็นตัวย่อสากลที่ใช้ในการสื่อสาร ซึ่งนาฬิกาอีกรุ่นที่ในกลุ่ม Prospex ที่ใช้ฝาหลังแบบนี้คือ Land Tuna ที่มีรหัส SBDC035 และเราเคยรีวิวมาแล้ว
Land Tortoise มาพร้อมกระจก Sapphire ตั้งแต่รุ่นธรรมดาแล้ว ในรุ่นนี้ก็มาพร้อมกับกระจกประเภทนี้ ส่วนขอบตัวเรือนน่าเสียดายที่อินเสิร์ตไม่ได้เป็นเซรามิก แต่เป็นอินเสิร์ตที่ผลิตจากอะลูมิเนียม ไม่อย่างนั้นน่าจะทำให้ตัวนาฬิกาน่าสนใจมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนกลไกขับเคลื่อนเป็นรหัส 4R35 ที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว มีกำลังสำรอง 41 ชั่วโมง ใช้งานง่าย และทนทาน
Seiko Prospex SRPH99K จะผลิตจำนวนจำกัด โดยมีการสลักเรือนที่ผลิตจากจำนวนการผลิตทั้งหมดอยู่บนฝาหลังด้วย โดยการผลิตทั้งหมดจะอยู่ที่ 7,000 เรือนสำหรับขายทั่วโลก และแบ่งเป็นรหัส SBDY121 จำนวน 300 เรือน ส่วนเมืองไทยมีราคาอยู่ที่ 22,000 บาทถือว่าเท่ากับรุ่นมาตรฐานที่เป็นสายสตีล แต่ได้ความพิเศษและความสวยที่มีมากกว่า โดยข่าวว่าบ้านเราเข้ามาเพียง 130 เรือนเท่านั้น ใครที่เล็งเอาไว้ต้องรีบกันหน่อยแล้ว
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline