Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K ภาคต่อ Monster เพนกวินที่ไม่ควรพลาด

0

จากที่ไม่คิดจะซื้อ แต่พอมาเจอตัวจริง ต้องบอกเลยว่าไฟท์นี้ไม่ควรพลาดสำหรับ Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K ซึ่งเป็นภาคต่อของเจ้าเพนกวินและทวีปแอนตาร์กติกา

- Advertisement -

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K ภาคต่อ Monster เพนกวินที่ไม่ควรพลาด

  • นาฬิการุ่นต่อของ Save the ocean ที่ยังยึดคอนเซ็ปต์ของทวีปแอนตาร์กติกาและเพนกวิน

  • SRPH75K มากับตัวเรือนที่ลงตัวพร้อมสเป็กที่ถือว่าคุ้มค่ากับราคา 20,900 บาท

  • หน้าปัดเปลี่ยนสีใหม่สะท้อนความงดงามใต้ท้องทะเลในยามค่ำคืน

สำหรับผม…คงต้องบอกว่ามีนาฬิกาไม่กี่เรือนที่การตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นหน้าเคาน์เตอร์แบบปัจจุบันทันด่วน ชนิดที่เรียกว่าตอนแรกไม่ได้มีความคิดอยากได้เป็นเจ้าของอยู่ในหัวเลย แต่พอมาเจอตัวจริงเข้าจังๆ กลับเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมือที่หยิบบัตรเครดิตยื่นไปให้กับพนักงานขาย ซึ่งทั้งหมดนี้คืออาการของผมที่เกิดขึ้นในวันที่เดินไปเจอ Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K ตัวเป็นๆ ที่เคาน์เตอร์ของ Seiko โดยนาฬิการุ่นนี้อยู่ในคอลเล็กชั่น Save the ocean 2022 รุ่นล่าสุด และเป็นภาคต่อของ Monster Penguin ภาคแรก หรือ SRPG57K ที่เคยรีวิวมาก่อนหน้านี้

ทวีปแอนตาร์กติกาและเพนกวินยังคงเป็นคอนเซ็ปต์หลักของ Seiko ในการเดินเรื่องในภาคต่อของ Save the ocean เพียงแต่ครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่มาและจุดดำเนินเรื่องเล็กน้อย โดยในรุ่นแรกซึ่งมี SRPG57K และ SRPG59K เป็นการสื่อถึงบรรยากาศของทวีปแอนตาร์กติกาในช่วงกลางวัน และสีสันบนหน้าปัดก็มาจากสีขาวของปุยหิมะ และสีของท้องฟ้าที่สะท้อนกับธารน้ำแข็งที่เป็นมนต์เสน่ห์ของสีสันแห่งทวีปแอนตาร์กติกอยู่บนข้อมือของผู้สวมใส่

ส่วนในรุ่นใหม่นี้ ยังมี Monster และ Mini Tuna Can ไซส์เล็กที่ใช้กลไกอัตโนมัติเป็น 2 รุ่นหลักในการดำเนินเรื่องเหมือนเดิม นั่นคือ Monster ในรหัส SRAPH75K และ Mini Tuna Can ในรหัส SRPH77K แต่เปลี่ยนบรรยากาศของทวีปแอนตาร์กติกาเป็นช่วงเวลากลางคืน และสะท้อนความงดงามใต้ท้องทะเลในยามค่ำคืนลงบนหน้าปัด

ดังนั้น สีสันบนหน้าปัดจึงถือเป็นจุดหลักของนาฬิกาในการทำให้เกิดความแตกต่างจากรุ่นปกติ ซึ่ง Seiko เลือกใช้เทคนิคพิเศษในการสร้างพื้นผิวบนหน้าปัดให้เหมือนกับพื้นผิวของผลึกน้ำแข็งในท้องทะเลอันหนาวเย็นโดยใช้สีน้ำเงินเข้มแบบสีของท้องทะเลยามค่ำคืน โดยแฝงดีเทลของเกร็ดหิมะ ที่สะท้อนกับแสงจากดวงดาวในยามค่ำคืนไว้อีกด้วย

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K

จุดเด่นของหน้าปัดถือว่าเป็นไฮไลท์พิเศษของการออกแบบในรุ่นใหม่นี้ คือการการประทับรูปของนกเพนกวินและฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอย่างเพลิดเพลินในท้องทะเล เพื่อเป็นสิ่งย้ำเตือนและชวนระลึกถึงความสวยงามแห่งธรรมชาติรวมถึงสัตว์ที่อยู่อาศัย สะท้อนถึงความสมบูรณ์ของท้องทะเลได้ดี และย้ำเตือนให้มนุษย์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมเอาไว้ให้สมดุล เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะทางทะเลที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์ของโลกอีกด้วย

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K

ต้องบอกว่ารายละเอียดบนหน้าปัดและการใช้สีใน SRPH75K ถือว่าสวยและโดดเด่นอย่างมาก โดยเฉพาะ Texture ของพื้นหน้าปัดที่ถอดแบบพื้นผิวน้ำที่แข็งตัวเป็นชั้นน้ำแข็งซึ่งจะมีลวดลายของเกล็ดหิมะที่สวยงาม และ Seiko เคยใช้หน้าปัดสไตล์นี้กับนาฬิกา JDM ที่มีชื่อเรียกว่า Iced Frost มาก่อน

นี่คือ 1 ใน 3 จุดที่ผมค่อนข้างชอบ Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K

ส่วนจุดต่อมาคือ การใช้ขอบตัวเรือนแบบไม่เคลือบเหมือนกับ Monster รุ่นปกติและรุ่นพิเศษที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนของนาฬิการุ่นนี้คงทราบดีว่า Monster ใหม่ทุกรุ่นที่ทำตลาดมากับขอบตัวเรือนที่เคลือบสีให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของรุ่นนั้นๆ จะมีก็เจ้าเพนกวินในคอลเล็กชั่น Save the ocean นี่แหละที่แตกต่างและชวนให้นึกถึงขอบตัวเรือนของ Monster รุ่นเก่าๆ ทั้งรุ่นแรกและ The Fang

ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบขอบสตีลแบบสีเงินพร้อมกับขัดด้านแบบนี้นะ เพราะดูแล้วสวย ที่สำคัญถึงเป็นรอยเพราะความเผลอเรอ บาดแผลจากความสะเพร่าก็ยังไม่เด่นชัดเท่ากับพวกขอบตัวเรือนที่เคลือบสีมา

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K
Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K
Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K
Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K

และจุดสุดท้ายที่ผมชอบก็เป็นรายละเอียดที่มาจากขอบตัวเรือนของ Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K1 นี่แหละ นั่นคือ สีในสเกลที่อยู่บนตัวเลขและหลักในการจับเวลา จริงๆ ดูตอนแรกจากภาพในอินเตอร์เนตเหมือนจะเป็นสีดำ  แต่เมื่อดูกลางแจ้งแล้วจะเห็นว่าสีด้านในไม่ใช่ดำแบบดำสนิท แต่ออกแนวเทาเข้มเกือบดำ ทำให้เมื่อดูในแง่ภาพรวมและการเข้ากันของสีสันที่อยู่บนหน้าปัดแล้ว ส่วนตัวผมว่าเป็นการเลือกใช้คู่สีที่สวยและดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าสีสันจะไม่ได้หวือหวาอะไรก็ตาม

สิ่งเหล่านี้เมื่อบวกกับการเติมรายละเอียดปลีกย่อยของชุดเข็มชั่วโมงและนาทีซึ่งมีการขัดลายอย่างสวยงาม พร้อมกับแต้มพรายน้ำแบบ Lumibrite ที่มีทั้งความไวแสงและความสามารถในการอมแสงได้นานตามสไตล์นาฬิกาดำน้ำจาก Seiko และเข็มวินาทีซึ่งมีปลายสีทองแล้ว ต้องบอกว่าเป็นความน่าหลงใหลที่ทำเอาเคลิ้มชนิดที่ไม่ต้องอาศัยแรงบิลด์จากคนรอบข้างหรือสมาชิกในกลุ่ม Facebook ทั้งหลายเข้ามาช่วยแต่อย่างใด

จริงๆ ผมชอบสไตล์และรูปแบบของ Mini Tuna Can ค่อนข้างมาก แต่ตัวเลข 43 มิลลิเมตรสำหรับตัวเรือนทรงกลมแบบขาสายสั้นนั้น ส่วนตัวแล้วถือว่าเล็กมากเมื่ออยู่บนข้อมือผม เอาเป็นว่ายังแอบเสียดายนิดๆ ที่ Seiko ไม่ทำให้นาฬิกาสไตล์นี้มีขนาดใหญ่กว่านี้อีกสักหน่อย ผมว่าสัก 45-47 มิลลิเมตรถือว่าแจ่มเลย ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องเบนเข็มมาที่ Monster ที่เป็นนาฬิกายอดฮิตแทน

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K

ต้องบอกว่า Monster ถือเป็นนาฬิกาแบบสปอร์ตจาก Seiko ที่ใส่ง่าย และดูสวยงามลงตัวจากดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งกับการใช้ความกว้างขาสาย 20 มิลลิเมตร อาจจะดูแล้วไม่สมดุลกับรูปแบบละขนาดนาฬิกา แต่เมื่อจับคู่กับสายสแตนเลสแล้ว ผมว่าทำให้ตัวนาฬิกาดูมีความเด่น และสวยในแบบเรียบๆ ซึ่งรูปแบบของสายสแตนเลสที่มีข้อเป็นแบบตัว U และมีข้อด้านบนแบบปัดเงานั้นถือว่าใช้ได้เลย โดยตัวสายมาพร้อมกับบานพับและระบบล็อก 2 ชั้นเพื่อความปลอดภัย และมีรูปแบบของบานพับที่เหมือนกับนาฬิกาดำน้ำแบบสายเหล็กทั่วไปของ Seiko

แต่สุดท้ายด้วยน้ำหนักของตัวนาฬิกาโดยรวมซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 186 กรัม และความต้องการส่วนตัวที่อยากได้ความแตกต่าง ผมก็หันไปรื้อกองสายทั้งแบบหนังและยางในห้องตัวเองเอามาจับคู่กับเจ้า Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K แทนที่สายสตีลที่ชวนให้หนักข้อมือหากสวมเป็นเวลานานๆ

ที่เหลือในตัว Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจาก Monster ใหม่รุ่นทั่วไป ใช้กระจกแบบ Hardlex แบบมีเลนส์ขยายทั้งช่อง Day/Date ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา ส่วนกลไก 4R36 ก็มั่นใจได้ในความทนทาน และประสิทธิภาพที่คุ้มค่ากับราคา เพราะมาพร้อมกับการสำรองพลังงาน 41 ชั่วโมง และความเที่ยงตรงในระดับ +45/-35 วินาทีต่อวัน แม้จะไม่ถึงกับดีที่สุด แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้เมื่อมองจากราคาป้ายของนาฬิกาเรือนนี้

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายและ Seiko น่าจะทำให้คอลเล็กชั่น Save the ocean มีความเด่นขึ้นมาอีกระดับนอกเหนือจากด้านหน้า นั่นคือ การเติมความพิเศษของฝาหลัง ซึ่งในรุ่น Save the ocean นั้นแทบจะไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากรุ่นปกติทั่วไป นอกเหนือจากคำว่า Special Edition ซึ่งส่วนตัวผมว่าในเมื่อจะทำให้คอลเล็กชั่นนี้มีความพิเศษแล้ว ฝาหลังน่าจะเป็นอีกจุดที่ Seiko สามารถเลือกที่จะเติมสีสันหรือลูกเล่นลงไปได้

Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K มีราคาป้ายอยู่ที่ 20,900 บาท และเป็นแค่ Special Edition ไม่ใช่ Limited Edition เพราะฉะนั้นความหายากไม่น่าจะใช่ประเด็นใหญ่อะไรเหมือนกับพวก The Real Thai Collection เพียงแต่ในช่วงแรกของอาจจะขาดเพราะความต้องการมีสูง เพราะความสวยของตัวนาฬิกาบวกกับกระแสความนิยมในนาฬิกา Seiko Monster ซึ่งบรรดาคนสะสมชื่นชอบ ทำให้กลายเป็นรุ่นฮิต และในเมื่อมีรุ่นย่อยอะไรออกมา บรรดาแฟนๆ ก็พร้อมยอมเสียเงินในการเก็บเข้ากรุกัน

เอาเป็นว่าถ้าไม่รีบ ก็รออีกสักนิด หรืออาจจะเดินไปที่เคาน์เตอร์ของ Seiko ก็ได้ อย่างของผมราคาหักส่วนลด บวกกับการใช้บัตรเข้ามาร่วมด้วย ถือว่าราคาดีเลย ซึ่งนี่ก็คืออีกปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจสอย Seiko Prospex Save the ocean SRPH75K เข้ากรุซะเลย

ข้อมูลทางเทคนิค : 

เส้นผ่านศูนย์กลาง (มม.) 42.4
Lug to Lug  (มม.) 49.4
ความหนา (มม.) 13.4
ตัวเรือนและสาย สแตนเลสสตีล
ฝาหลัง แบบขันเกลียว
กระจก Hardlex พร้อมเลนส์ขยายวันที่
กลไก 4R36
ความถี่ (ครั้งต่อชั่วโมง) 21,600
กำลังสำรอง (ชั่วโมง) 41
ความเที่ยงตรง +45 ถึง -35 วินาทีต่อวัน
การกันน้ำ 200 เมตร
ราคา 20,900 บาท

 

  • ประทับใจ : คอนเซ็ปต์ สีสันและลูกเล่นบนหน้าปัด
  • ไม่ประทับใจ : ฝาหลังที่ไม่แตกต่างจากรุ่นปกติ น่าจะเพิ่มการสลักลายแบบพิเศษเฉพาะคอลเล็กชั่น