ความชอบพาไปอีกครั้ง และนั่นทำให้เจ้า Monster JDM ที่ใช้กลไก 6R15 ของ Sumo ตัวใหม่หลุดเข้ามาอยู่ในกรุ ด้วยการอิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่น โดยรหัส SZSC003 เป็นรหัสที่แตกต่างจาก Monster JDM หน้าดำ และหน้าส้มที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้
Seiko Monster SZSC003 สวมหัวใจ 6R15 ลุยตลาด
- รุ่นที่ 3 ของ Monster JDM ต่อจากหน้าดำ และหน้าส้ม
- เปลี่ยนมาใช้รหัสรุ่น SZSC003 สำหรับขายในญี่ปุ่น
- ราคาป้าย 60,000 เยนเท่ากับ Sumo รุ่นปกติ
ผมเคยสงสัยนะว่าการจ่ายเงินเท่ากัน ระหว่างนาฬิกาที่มีระดับตลาดสูงกว่าแต่สเป็กปกติกับอีกรุ่นที่มีระดับตลาดต่ำกว่าแต่ถูกอัพเกรดด้วยสเป็กที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติของมัน แบบหลังจะมีใครซื้อเป็นเจ้าของหรือไม่ เหมือนอย่างเจ้า Seiko Prospex SZSC003 ซึ่งมากับเรือนร่างของ Monster แต่สวมหัวใจ 6R15 ของนาฬิการุ่นสูงกว่าอย่าง Sumo พร้อมกับตั้งราคาขายเทียบเท่ากันแบบไม่กลัวตาย คือ 60,000 เยน
จริงๆ แล้วแนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด แค่มีมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว ซึ่งผมตั้งชื่อเล่นๆ ให้มันว่า Monster JDM เพราะเป็นรุ่นที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น ขณะที่ฝรั่งชอบเรียกกันตามบอร์ดว่า 3rd Gen Monster และถ้าจำไม่ผิดนี่คือนาฬิกาเรือนแรกๆ ที่ผมจับเอามารีวิวลงเว็บ เพียงแต่ใน 2 รุ่นแรกที่เปิดตัวออกมานั้น Seiko ใช้รหัสว่า SCBD023 สำหรับหน้าส้ม และ SCBD025 สำหรับหน้าดำ ซึ่งในปัจจุบันทั้ง 2 รุ่น Discontinued ไปแล้ว โดยที่ไม่มีเหตุผลมารองรับต่อคำถามข้างบน เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เลิกผลิตเพราะขายไม่ดี หรือว่าพวกเขาตั้งใจผลิตออกมาเพียงเท่านี้ แต่ที่แน่ๆ ในปัจจุบัน Monster JDM กลายเป็นอีก Rare Item ที่หายาก และเป็นที่ต้องการของแฟนๆ
สำหรับรุ่นที่ผมนำมารีวิวนี้เป็นรุ่นที่ 3 ของ Monster JDM แต่ใช้รหัสที่แตกต่างออกไป คือ SZSC003 ซึ่งในตอนนั้ได้กลายเป็นรหัสใหม่สำหรับนาฬิการุ่นพิเศษที่ Seiko ผลิตขึ้นมาเพื่อโอกาสพิเศษซึ่งอีก 2 รุ่นต่อมาที่ใช้รหัสนี้คือ SZSC004 และ SZSC005 หรือ Monster และ Sumo หน้าเขียวที่จะเปิดตัวในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้
SZSC003 หรือ Monster Blue Ocean เปิดตัวเมื่อปี 2016 ส่วนรหัสที่เปลี่ยน ไปจากรุ่นพี่ทั้งสองซึ่งวางขายก่อนหน้านี้นั้น ยังไม่มีใครยืนยันตรงนี้ออกมาได้ แต่ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นรุ่นที่ถูกผลิตออกมาเพื่อรองรับกับร้านค้าออนไลน์เป็นหลัก เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่ง Seiko ผลิตรุ่นพิเศษหน้าสีฟ้าประมาณนี้ให้กับนาฬิการุ่นอื่นๆ ของตัวเอง พร้อมกับตั้งรหัสที่แตกต่างออกไปจากรุ่นปกติพร้อมกับบอกว่าผลิตเพื่อวางขายออนไลน์ ซึ่งผมคิดว่า SZSC003 ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น
แล้วมันน่าสนใจตรงไหนหรือ ?
บอกตามตรงเลยสำหรับคนที่ชอบอะไรแปลกๆ อย่างผม มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก แม้ว่าในปัจจุบันสถานะของ SZSC003 ยังคงหาได้ตามร้านต่างๆ และยังไม่สูญพันธุ์ไปจากตลาดเหมือนกับรุ่นพี่ทั้งสองก็ตาม แต่สำหรับบางคน จำนวนเงินตามราคาป้าย 60,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยแล้วราวๆ 18,000 บาท อาจจะดูแพงไปสำหรับการจ่ายเงินเพื่อ Monster ก็ตาม จ่ายราคานี้ซื้อ Sumo ดีกว่า…ก็นานาจิตตังนะครับ
ผมเคยเปรียบเทียบกับ Monster JDM กับ Sumo ว่า เหมือนคุณซื้อ Civic รุ่นท็อปกับ Accord รุ่นต่ำสุด หลายคนอาจจะมองว่าคนละคลาสกันในแง่ตำแหน่งทางการตลาด แต่คนซื้อรถยนต์ส่วนใหญ่มักจะชอบเอาราคาเป็นที่ตั้งมากกว่า และเจ้านี่ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งคำตอบส่วนตัวของผมก็จัดการเลือก SZSC003 มากกว่า Sumo ด้วยเหตุผล 3-4 เรื่อง
ข้อแรก รสนิยมส่วนตัวที่ชอบความแปลกที่แตกต่างจากตลาด และชอบที่จะให้บรรดาคนเล่นนาฬิกาทั่วไปมองที่ข้อมือตัวเองแล้วเกิดข้อสงสัยว่ามันมี Monster รุ่นนี้ด้วยหรือ ? ถ้าโชคดีผมอาจจะได้เพื่อนเล่นนาฬิกาเพิ่มมาอีกคนนึง หากเขาเดินเข้ามาคุย
ข้อที่ 2 ผมชอบกลไก 6R15 ในแง่ของการสำรองพลังงานที่สามารถผ่าน 2 วันในการนอนอยู่บนกล่องมาได้ และการเป็นนาฬิกาที่มีแค่ Date แต่ไม่ค่อยโปรดตัวเรือนและหน้าตาที่ดูแก่ๆ ของ Sumo สักเท่าไร ซึ่งถ้าตามรีวิวกันมาตลอด ผมเพิ่งจะมามี Sumo เป็นเรื่องเป็นราวก็ตอนที่พวกเขาเปิดตัว Sumo Pepsi ออกมา
ข้อที่ 3 ความหายากของตัวนาฬิกาที่ทำให้ไม่โหล และไม่เหมือนใคร เอาเป็นว่าถ้าไม่หิ้วถึงที่โน่น ก็ต้องรอพ่อค้าให้หิ้วมาขายถึงที่เมืองไทย ซึ่งที่ผ่านมา ผมก็เห็นพ่อค้าน้อยคนนะที่จะหิ้วรุ่นนี้มาขาย ด้วยเหตุผลที่ว่า น่าจะอยู่ด้วยกันนาน ถ้าไม่โชคดีเจอเนื้อคู่จริงๆ
ข้อที่ 4 ขนาดตัวเรือนที่เข้ากับข้อมือแบบดูแล้วไม่เล็กและไม่ใหญ่ของ Monster แม้ว่าผมกับนาฬิการุ่นนี้จะเบื่อๆ อยากๆ กันมาหลายครั้ง และไม่เคยอยู่ติดกรุนาน แต่ถ้าจะให้เลือกว่าจะต้องมี Monster สักเรือนอยู่ในกล่อง ผมคงเลือกเจ้านี่ด้วยเหตุผล 3 ข้อข้างบนบวกกับเรื่องของราคาที่ไม่แพงแบบไปไกลเหมือนกับพวก Monster ตัวเต็ดทั้งหลาย
ผมได้เจ้านี่มาตอนที่บรรดาน้องๆ ในบริษัทออกไปทำข่าวที่ญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่าย ก็เลยใช้อำนาจหน้าที่บีบให้น้องๆ สอยติดมือกลับมาด้วยแล้วค่อยมาเคลียร์กันหลังจากเดินทางกลับมา
เมื่อของเดินทางมาถึงมือ และแง้มถุงออกมา ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะในแง่ของแพ็คเกจก็ไม่ได้มีอะไรแปลกหรือแตกต่างจากรุ่นปกติจนต้องร้องว้าว และจากประสบการณ์ที่เคยเป็นเจ้าของมาก่อนก็เลยไม่คาดหวังว่า แพ็คเกจของ SZSC003 จะต้องต่างจาก SBCD023 และ 025 แต่อย่างใด นาฬิการุ่นนื้มากับกล่องมาตรฐานของ Seiko พร้อมกับกล่องกระดาษขาว และมีคู่มือกับใบรับประกันที่ยากจะเสียบเข้าไปในกล่องนี้กล่องเดียวเพราะลำพังแค่กล่องในก็แทบแน่นคับกล่องกระดาษอยู่แล้ว
ตัวเรือนของ SZSC003 ไม่แตกต่างจาก Monster ทั่วไป ชนิดที่เรียกว่าถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นความต่าง โดยขนาดตัวเรือนก็ไซส์เท่ากันด้วยเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.3 มิลลิเมตร Lug-to-Lug ขนาด 47.5 มิลลิเมตร และหนา 13 มิลลิเมตร โดยความกว้างขาสาย 20 มิลลิเมตรกับนาฬิกาไซส์ประมาณนี้ ผมว่าทำให้มีความลงตัวมากเวลาที่ถอดสายเหล็กออก และหาสายหนังสวยๆ มาใส่ เพียงแต่ในตลาด Aftermarket ไซส์ 20 มิลลิเมตรอาจจะหาสายหนังสวยๆ ยากหน่อย ถ้าไม่สั่งตัด ซึ่งงานนี้ก็คงหนีไม่พ้นร้านคู่ใจแถวตึกธนิยะ
สิ่งที่ทำให้ Monster JDM แตกต่างจาก Monster รุ่นปกติ ถ้าไม่นับสีหน้าปัดที่เป็นแบบ Dark Blue คือ ช่องวันที่ ซึ่งเป็นแบบ Date ขณะที่ Monster ทั่วไปนั้นใช้กลไกแบบ 4R36 ซึ่งจะมาในแบบ Day/Date และอย่างที่ 2 คือ หลักชั่วโมงบนหน้าปัด เพราะ Monster รุ่นที่ขายอยู่เป็นเจนเนอเรชั่นของ The Fang ที่มีหลักชั่วโมงแบบทรงสามเหลี่ยมเหมือนกับเขี้ยว ขณะที่ Monster JDM เป็นแบบแท่งเหลี่ยมเหมือนกับ Monster รุ่นแรก ขณะที่รูปทรงของเข็มทั้ง 3 ไม่แตกต่างกัน
ในส่วนของเลนส์ Cyclop ในช่วงวันที่นั้น ผมว่าคงไม่ใช่จุดหลักที่คนจะสนใจและนำมาวัดในแง่ความต่างกันสักเท่าไร เพราะรุ่นพิเศษทั้ง Limited หรือ Sepcial ของ Monster ก็มีการผลิตเลนส์นูนแบบ Cyclop ออกมาขายกันจนเป็นปกติ อ่อ…แล้วอีกเรื่องที่อาจจะทำให้คุณลังเลใจกับการจ่ายเงินเพื่อซื้อ SZSC003 คือ มันยังใช้กระจกแบบ Hardlex อยู่ ไม่ใช่ Sapphire ซึ่งตรงนี้ผมไม่ได้แคร์อะไรก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
กลไก 6R15 เดินด้วยความถี่ระดับ 3Hz หรือ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง และมีพื้นฐานที่เป็นจุดเริ่มต้นมาจากกลไก 7S เช่นเดียวกับพวกกลไก 4R ที่อยู่ในกลุ่มนาฬิกาที่มีระดับต่ำกว่า ความเนียนในการเดินของวินาทีคงไม่เท่ากับเรื่องของการมีแค่ Date และการสำรองพลังงานที่อยู่ในระดับ 50 ชั่วโมง ซึ่งทำให้นาฬิกาเรือนนี้พาผมผ่านเสาร์-อาทิตย์ไปได้ โดยที่ไม่ต้องตื่นมาตอนเช้าวันจันทร์เพื่อตั้งเวลาใหม่เหมือนกับพวกกลไก 4R ที่สำรองพลังงานได้แค่ 40 ชั่วโมง ส่วนเรื่องความเที่ยงตรงหรือ +25 ถึง -15 วินาทีต่อวัน ซึ่งเที่ยงตรงกว่าพวก 4R
แต่สิ่งเดียวที่ผมไม่ชอบ และก็ไม่ได้เกี่ยวว่าจะต้องเกิดขึ้นกับ Monster JDM เท่านั้น แต่รวมถึง Monster เกือบทุกเจนเนอเรชั่น ที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเจอแบบผมบ้าง นั่นก็คือ Crown Guard กับการเสียดสีของนิ้วเวลาที่หมุนคลายเกลียวเพื่อตั้งเวลา อาจจะไม่ถึงกับขนาดทำให้เลือดตกยางออก แต่ผมรู้สึกเจ็บเสมอเวลาที่จะต้องคลายเกลียวของเจ้า Monster ทุกแบบ เพราะเจ้า Crown Guard ด้านบนมันคอยจะทิ่มเข้าไปที่นิ้วโป้งและนิ้วชี้
มาถึงบรรทัดนี้ ผมต้องสรุปด้วยเหตุผลที่สามารถชี้ชัดให้ได้ว่า มันน่าซื้อหรือไม่ แน่นอนผมซื้อมาแล้ว ก็ต้องมีใจให้ อันนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนใครที่ยังไม่มีและกำลังชั่งใจ ผมมักจะบอกเสมอว่าให้ถามตัวเองก่อนว่า ซื้อนาฬิกาไปเพื่ออะไร ? เพราะชอบ เพราะความคุ้มค่า เพราะตามกระแส หรือเพราะเบื่อเร็วและจำเป็นต้องหาอะไรที่ตัดขาดกันได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน ผมว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว
ส่วนผมยืนยันเสมอว่าต้องเป็นข้อแรก ที่ผ่านมาเจ็บตัวมาก็เยอะ แต่ก็ยังยืนยันคำตอบนี้ เพราะทำใจไม่ได้กับการที่จะต้องใส่นาฬิกาที่ตัวเองไม่ได้ชอบ…เท่านั้นเอง
รายละเอียดทางเทคนิค : Seiko Prospex SZCS003 Monster JDM
- ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง : 42.3 มิลลิเมตร
- Lug-to-Lug : 47.5 มิลลิเมตร
- ความหนา : 13 มิลลิเมตร
- กระจก : Hardlex พร้อม Cyclop
- ระดับการกันน้ำ : 200 เมตร
- กลไก : 6R15
- สำรองพลังงาน : 50 ชั่วโมง
- ระดับความคลาดเคลื่อน : +25 ถึง -15 วินาทีต่อวัน
- ประทับใจ ความลงตัวระหว่างความสปอร์ตของตัวเรือน Monster กับกลไก 6R15
- ไม่ประทับใจ Crown Guard ที่ชอบเสียดสีนิ้วเวลาหมุนคลายเกลียว และความรักเจ้าของ
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/