Oris ProPilot x Calibre 400 อย่าดูแค่ตัวเลข ต้องลองขึ้นข้อ

0

เปิดตัวออกมาและเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราอย่างรวดเร็ว แต่กับตัวเลขขนาด 39 มิลลิเมตร พวกข้อมือใหญ่และใส่นาฬิกาเรือนโตมาตลอดทั้งชีวิตจะรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องขึ้นข้อกับนาฬิกาเรือนนี้ วันนี้เรามีคำตอบให้

Oris ProPilot x Calibre 400
Oris ProPilot x Calibre 400

Oris ProPilot x Calibre 400 อย่าดูแค่ตัวเลข ต้องลองขึ้นข้อ

  • นาฬิกานักบินรุ่นใหม่ของ Oris ที่มากับไซส์ 39 มิลลิเมตรพร้อมตัวเรือนและสายที่ผลิตจากไทเทเนียม

  • หน้าปัดมีให้เลือก 3 สีพร้อมกรรมวิธีในการผลิตที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ฝีมือ

  • ราคาจำหน่ายในบ้านเรา 162,900 บาท

- Advertisement -

ช่วงวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา Oris จัดการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ของพวกเขาที่ Watches and Wonders 2022 และที่บ้านเราก็เช่นเดียวกัน นาฬิกาเรือนนี้ถูกนำเข้าผ่านทางตัวแทนจำหน่าย Oris อย่างเป็นทางการ ซึ่งก็คือ Trocadero Time มาสักระยะหนึ่งแล้ว และได้มีการเปิดให้สมาชิกของกลุ่ม OSC BKK ซึ่งเป็นพื้นที่ออนไลน์ในการรวมตัวกันของแฟนๆ Oris ในประเทศไทยได้สัมผัส และแน่นอนว่าผมได้รับโอกาสนั้น และเข้าไปสัมผัสตัวจริงของ ProPilot x Calibre 400 ด้วยเช่นกัน ก็เลยนำมาซึ่งการทำบทความในลักษณะ First Impression ให้อ่านกันครับ

Oris ProPilot x Calibre 400
Oris ProPilot x Calibre 400

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าบทความนี้ผมได้เขียนและโพสต์ลงไปในกลุ่ม OSC BKK แล้วหลังจากที่ได้มีโอกาสไปสัมผัส ProPilot x Calibre 400 ดังนั้น เพื่อให้บทความมีความสมบูรณ์มากขึ้น ก็เลยนำบทความเดิมมาเพิ่มเติมรายละเอียด และทำการเชื่อมประโยคในเนื้อหาให้น่าอ่านขึ้นจากเวอร์ชัน Facebook

Oris ProPilot x Calibre 400
Oris ProPilot x Calibre 400

Oris ProPilot x Calibre 400
Oris ProPilot x Calibre 400

กลับมาที่ ProPilot x Calibre 400 ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ค่อยเซอร์ไพรส์เท่าไรที่ Oris เลือกจะนำกลไก In-House เจ้าของฉายา The New Standard ของพวกเขามาจับคู่กับนาฬิกาในคอลเล็กชั่นอื่นๆ หลังจากที่เปิดตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้วกับนาฬิกาดำน้ำอย่าง Aquis และตามด้วย AquisPro Date แต่ที่ชวนแปลกใจอย่างมากคือ Oris เลือกจับคู่กับ ProPilot X แทนที่จะเป็น ProPilot ธรรมดา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเชื่อว่ามันก็มีเหตุผลรองรับอยู่ในระดับหนึ่งเหมือนกัน

ผมคิดว่าการหาคู่ที่เหมาะสมกับกลไกรุ่นนี้ที่ถือว่ามีต้นทุนในการผลิตและพัฒนา ซึ่งน่าจะสูงกว่าการขัดแต่งจากกลไก Outsource อย่างที่ผ่านมานั้น ถือเป็นเรื่องที่จะช่วยทำให้เกิดความรู้สึกว่านาฬิกาเรือนนั้นไม่แพงจนเกินไป และมีความเหมาะสมในเรื่องของการตั้งราคา จนนำไปสู่การปิดดีลในที่สุด

ตอนที่ Oris เปิดตัว Aquis Calibre 400 ออกมาพร้อมกับราคาเกินแสนบาท ผมเชื่อว่าแฟนๆ ของ Oris (ซึ่งก็รวมถึงผมคนหนึ่งด้วย) จะต้องมีอาการสะเทือนใจอย่างแน่นอน กับการที่จะต้องจ่ายเงินในระดับนี้เพื่อแลกกับสิ่งที่ได้มาซึ่งเป็น ‘ความเหมือนที่แตกต่าง’ แม้ว่ากลไก Calibre 400 ของพวกเขาจะเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม มันเหมือนกับอารมณ์ที่คุณต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 30-40% เพื่อซื้อรถยนต์รุ่นเดียวกัน แต่ต่างเครื่องยนต์ ซึ่งส่วนต่างที่แพงขึ้นมันคือความมั่นใจว่าจะได้ของที่ดีขึ้นในด้านการขับขี่ แต่ในเรื่องของรูปลักษณ์ดันเหมือนกับรุ่นธรรมดา ‘เกือบ’ ทุกอย่าง

Oris ProPilot x Calibre 400 Oris ProPilot x Calibre 400
Oris ProPilot x Calibre 400 Oris ProPilot x Calibre 400

ผมเชื่อว่าการจับคู่ครั้งนี้คือความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงในการขจัดปัญหาในเรื่องความคาใจในด้านราคา เพราะถ้า Oris นำ Calibre 400 ไปจับคู่กับ Big Crown Pro Pilot ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตามานาน อาจจะเกิดอาการทำใจลำบากแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ Aquis Calibre 400 ก็เป็นได้

Oris เลือกเอา ProPilot X ที่เคยเป็น Top of the line ของนาฬิกาในกลุ่มนักบินมาใช้ และความเทพของมันคือ ภาพที่ฝังอยู่ในหัวของคนชื่นชอบนาฬิกาไปแล้วหลังจากที่เปิดตัวรุ่น Calibre 115 ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับสองแสนกลางๆ ออกมา ดังนั้น เมื่อจับคู่กับ Calibre 400 และตั้งราคาในระดับแสนกลางๆ (162,900 บาท) ในเชิงความรู้สึกย่อมดีกว่าแน่ๆ เหมือนกับการดาวน์เกรดเอารถยนต์รุ่นสูงกว่ามาวางเครื่องยนต์ที่สมรรถนะต่ำกว่า (ของที่รถยนต์รุ่นนั้นเคยเป็น) และตั้งราคาแบบสมเหตุสมผล ซึ่งกลยุทธ์ลักษณะนี้ ผมว่าสามารถดึงความสนใจของคนได้มากกว่าการทำแบบเดียวแต่กลับด้านด้วยการอัพเกรดบนพื้นฐานของสิ่งที่มีพื้นฐานต่ำกว่า

กลับมาที่ตัวนาฬิกากันต่อ…

ถ้าลองนั่งไล่เลี่ยงนาฬิกานักบินของ Oris เท่าที่ผมมองเห็น การจัดเรียงจะออกแนวนี้ Big Crown Big Date ก็คือพวกรุ่นคลาสสิคแบบ Re-Issue ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับเครื่องบินใบพัด ขณะที่รุ่น Big Crown Pro Pilot คือ นาฬิกานักบินที่มีความทันสมัยขึ้นมาอีกหน่อย อารมณ์เหมือนพวกเครื่องบินขับไล่ F-14 F-15 หรือ F-16 ขณะที่ ProPilot X คือ เครื่องบินขับไล่ยุคใหม่ เช่น F-22 Raptor หรือ F-35 มีความสวย ทันสมัย และสมรรถนะสูง

จากความเห็นของผมในโพสต์ที่กลุ่ม ผมยังมีความรู้สึกแบบเดิม ซึ่งนาฬิกาเรือนนี้เหมือนกับการย่อส่วนของ ProPilot X ที่เคยเปิดตัวออกมาแล้วกับรุ่น Calibre 115 รูปร่างหน้าตาของนาฬิกาเหมือนกับเครื่องบินสมัยใหม่ เน้นเส้นสายและเหลี่ยมคมที่ค่อนข้างเยอะทั้งบนตัวเรือนและสาย เพื่อให้ตัวนาฬิกาดูล้ำสมัยกว่าพวก Big Crown Pointer Date หรือ Big Crown ProPilot ที่เป็นนาฬิกาในกลุ่มนักบินเหมือนกัน การใช้ไทเทเนียมทั้งเรือนและสายบวกกับการขัดแบบซาตินที่ทำให้พื้นผิวออกด้านๆ เป็นอะไรที่เข้ากันสุดๆ กับคอนเซ็ปต์ของตัวนาฬิกา

สำหรับชุดสายออกสไตล์เดียวกับรุ่น Calibre 115 แต่ย่อขนาดลง และยังใช้บานพับที่ออกแบบคล้ายกับหัวเข็มขัดบนเครื่องบินพาณิชย์ ถอดออกง่ายแค่ดันชิ้นส่วนตรงบานพับขึ้นก็คลายล็อกแล้ว และเมื่อต้องการก็กดลงไปจนได้ยินเสียงคลิ๊ก ความกว้างขาสาย 20 มิลลิเมตร ถ้าอยากเปลี่ยนใจจากสายไทเทเนียมก็หาสายหนังสวยๆ เข้าคู่กันได้

ต้องบอกเลยว่าเป็นไฮไลท์อีกจุดของนาฬิกา เพราะกระบวนการผลิตหน้าปัดถือว่าต้องใช้ความชำนาญ และไม่ได้ทำกันง่ายๆ หน้าปัด Sand Blasted และเทคนิคการขัดแบบซาติน ซึ่งเป็นเทคนิคการเตรียมพื้นผิววัสดุหน้าปัด โดนการพ่นวัสดุที่มีขนาดเล็กไปกระทบบนโลหะที่ใช้ทำหน้าปัด นิยมทำกันในกลุ่มนาฬิกาที่เป็นแบรนด์นาฬิการะดับไฮเอนด์ (Luxury Watch) เมื่อมองลงไปเราจะเห็นพื้นผิวที่ขรุขระ และมีลักษณะออกด้านๆ เหมือนกับเม็ดทราย ซึ่งทำให้ภาพรวมทั้งหมดดูเข้ากันกับพื้นผิวของตัวเรือน และเมื่อได้มาแล้วก็นำไปทำสีต่อ ซึ้งทั้งกระบวนการจะต้องใช้ช่างฝีมือที่มีความชำนาญ เพราะไม่อย่างนั้นสีจะไม่เท่ากัน

Oris ProPilot x Calibre 400
Oris ProPilot x Calibre 400

Oris ProPilot x Calibre 400

สีที่จำหน่ายในช่วงแรก มี 3 สี ซึ่งส่วนตัวผมเลือกจับสีส้มแซลมอนก่อนใครเพื่อน และเชื่อว่าหลายท่านน่าจะทำแบบเดียวกับผมเพราะความเด่นในแง่ของสีสัน แต่เมื่อมองดูรายละเอียดอื่นๆ ประกอบด้วยแล้ว สีเทากลับเป็นสีที่ดูได้นาน สวยแบบเรียบๆ และยังมีความแตกต่างจากอีก 2 สีหน้าปัดในด้านรายละเอียด เช่น พื้นจานหมุนของวันที่มีสีเข้ม ส่วนรุ่นอื่นๆ จะเป็นสีขาว เช่นเดียวกับชุดเข็มและพรายน้ำที่ทำออกมาให้ดูเข้ม เหมือนกับเป็นเครื่องบินแนวๆ Stealth แต่ไม่ถึงดำสนิท ที่สำคัญทราบมาว่า ในช่วงแรกของการนำเข้ามาจำหน่าย สีเทามีแค่เรือนเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ยิ่งทำให้ผมกลับชอบมากขึ้นเรื่อยๆ

Oris ProPilot x Calibre 400 Oris ProPilot x Calibre 400 Oris ProPilot x Calibre 400

สำหรับกลไก คงไม่ต้องบอกถึงความเด่นของกลไก In-House รุ่นนี้ของ Oris เท่าที่ได้ใช้มากับรุ่น Aquis ผมแฮปปี้กับเรื่องกำลังสำรองที่เหลือเฟืออย่างมาก 120 ชั่วโมงหรือ 5 วัน ทำให้ผมสามารถตั้งเวลาและวันที่เพื่อใส่สักวันหรือสองวัน ก่อนสลับไปใส่เรือนอื่น 3-4 วัน แล้วค่อยกลับมาใส่อีกครั้งลานก็ไม่หมด ทำให้แทบไม่ต้องพึ่งกล่องหมุนเลย ส่วนในเรื่องความทนทานนั้น คงต้องบอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะรีบสรุป เพราะ Oris เพิ่งเปิดตัวกลไกนี้มาได้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น และยังไม่เคยได้ยินปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด ส่วนเรื่องความเที่ยงตรง เท่าที่ลองจับดูจาก Aquis Calibre 400 ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขที่ Oris เคลมเอาไว้ ซึ่งก็คือ -3 ถึง +5 วินาทีต่อวัน

คราวนี้มาถึงเรื่องตอนขึ้นข้อมือ ตอนที่ได้ข่าว ทราบสเป็ก และเห็นภาพของตัวนาฬิกาแล้ว สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ เทรนด์เดี๋ยวนี้เค้าไปนาฬิกาไซส์ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตรกันแล้วหรือ แล้วต่อไปนี้พวกชอบของใหญ่ๆ อย่างผมจะทำอย่างไรละเนี่ย ?

Oris ProPilot x Calibre 400 Oris ProPilot x Calibre 400 Oris ProPilot x Calibre 400

เอาจริงๆ ผมขีดชื่อนาฬิการุ่นนี้ออกจาก Wish List ไปแล้วเพราะเจ้าตัวเลขเส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือนนี่แหละ แต่สุดท้ายก็ต้องไปขอลองทาบของจริงกันสักหน่อย จะได้ไม่คาใจในภายหลัง จากการที่ผมเห็นภาพหน้าตาและรายละเอียดมาระดับหนึ่งก่อนแล้ว ตัวเลข 39 มิลลิเมตรของเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นอะไรที่คาใจผมมาหลายวันเลย เพราะตามปกติผมชอบใส่นาฬิกา Oversize พวก 43 มิลลิเมตรขึ้นไปทั้งนั้น

แต่ก่อนที่จะไปลอง ผมเลือกที่จะสวมนาฬิกาไซส์เล็กกว่าที่ชอบไป เพื่อปรับความรู้สึก เวลานำนาฬิกาเรือนเล็กกว่ามาขึ้นข้อจะได้ไม่รู้สึกแปลก และวันนั้น ผมสวมเจ้า Oris Divers Sixty Five ขนาด 42 มิลลิเมตรไปแทนที่จะเป็นนาฬิกาตระกูลดำน้ำของ Oris

เมื่อเห็นเรือนจริง ต้องบอกว่ารูปทรงและมิติของตัวนาฬิกามีส่วนอย่างมากในการโน้มน้าวใจของพวกชอบใส่นาฬิกาเรือนใหญ่ ให้กันมามองเจ้า ProPilot X Calibre 400

ตัวเรือนมาในสไตล์นักบินที่มักจะมีขาสายยาวและทำให้ Lug to Lug ค่อนข้างยาว (ประมาณ 47 มิลลิเมตร) ตามไปด้วย เมื่อบวกกับดีไซน์ของ ProPilot X ซึ่งบริเวณขาสายมีเนื้อที่บานออกทางด้านข้าง เรียกง่ายๆ ว่ามีพื้นที่ขาสายค่อนข้างกว้าง และทำให้ตัวนาฬิกาดูแบนออกเหมือนกับทรงเหลี่ยม บวกกับหน้าปัดที่ไม่มีขอบตัวเรือน พื้นที่ของหน้าปัดและกระจกก็เลยเบ่งออกมาได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผมมั่นใจว่าน่าจะพอได้เมื่ออยู่บนข้อมือไซส์ 7 นิ้วแบบแบนๆ ของตัวเอง…และก็จริงๆ ด้วย

ผมพยายามทดลองขึ้นข้อและเพ่งมองอยู่นานสักหน่อยว่าเป็นเพราะความรู้สึกในแบบ First Impression เมื่อได้เห็นอะไรใหม่ๆ หรือว่านาฬิกาเรือนนั้นถูกใจจริงๆ ซึ่งตลอดเวลาที่ได้จับสัมผัสและทดลองขึ้นข้อประมาณ 5-10 นาที ผมว่าตัวเลขของขนาดไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับผมอย่างที่กังวลตั้งแต่แรก แต่แม้ว่าเส้นผ่านศูนย์กลางจะเล็กกว่า Big Crown Pointer Date แต่ด้วยรูปทรงและดีไซน์ของตัวนาฬิกา ผมคิดว่ากลับอยู่บนข้อมือผมได้อย่างลงตัวและไม่รู้สึกคาใจอะไรเลย

ดังนั้น ใครที่กังวลเรื่องขนาด ผมว่าต้องไปลอง เพราะอย่างที่อธิบายข้างต้น และจากการที่ผมได้ลองขึ้นข้อ คิดว่า คนที่มีข้อมือในระดับ 6-7 นิ้ว สามารถใส่นาฬิกาเรือนนี้ได้อย่างสวยและลงตัว ไม่รู้สึกว่าเล็กหรือกางจนเกินไป

สำหรับราคาป้ายของ ProPilot X Calibre 400 อยู่ที่ 162,900 บาท ถามว่าแรงไหม ถ้าดูแค่ตัวเลขถือว่าแรงระดับหนึ่ง และราคานี้เชื่อว่า Oris ต้องทำงานกันเหนื่อยหน่อย เพราะคู่แข่งที่อยู่ในช่วงราคานี้ถือว่าเป็นของแข็งทั้งนั้น แต่ถ้าชอบ อย่างที่ผมบอกเสมอว่า ไม่มีคำว่าแพง การเป็นนาฬิกาเรือนใหม่ที่ออกแบบใหม่ พวกเขาการใช้วัสดุอย่างไทเทเนียม หน้าปัดที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีที่ซับซ้อนแต่ออกมาสวยจริงๆ บวกกับกลไก In-House ที่โดดเด่น ผมว่าเหตุผลเหล่านี้สามารถสนับสนุนและทำให้คุณสามารถเป็นเจ้าของ ProPilot X Calibre 400 ได้แบบไม่ต้องคาใจอะไรใดๆ

รายละเอียดทางเทคนิค : Oris ProPilot x Calibre 400

  • เส้นผ่านศูนย์กลาง : 39 มิลลิเมตร
  • Lug to Lug : 47 มิลลิเมตร
  • ความหนา : 11.8 มิลลิเมตร
  • ความกว้างขาสาย : 20 มิลลิเมตร
  • วัสดุตัวเรือน : ไทเทเนียม
  • กระจก : Sapphire
  • กลไก : อัตโนมัติ Calibre 400
  • ความเที่ยงตรง : -3/+5 วินาทีต่อวัน (อยู่ในมาตรฐาน COSC)
  • คุณสมบัติพิเศษ: ต้านทานสนามแม่เหล็กระดับสูง
  • กำลังสำรอง : 120 ชั่วโมง
  • การกันน้ำ : 100 เมตร
  • ประทับใจ : รูปลักษณ์ ขนาดตัวเรือน รายละเอียดบนหน้าปัด และกลไก
  • ไม่ประทับใจ : ไม่มี