ในที่สุดนาฬิการุ่นพิเศษที่เป็น Thailand Special Project ของทาง Trocadero Time ก็เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่ง Oris Payoon Limited Edition เชื่อมโยงเรื่องราวของพะยูนให้เข้ากับโลกแห่งเวลา และสะท้อนความสวยงามผ่านทางรายละเอียดตามจุดต่างๆ ของตัวนาฬิกาได้อย่างลงตัว
Oris Payoon Limited Edition ความภูมิใจของคนไทยที่ไม่ควรพลาด
-
นาฬิกาที่เกิดจากการผลักดันของ Trocadero Time ในการผลิตเป็น Limited Edition และมีการจำหน่ายทั่วโลก
-
เชื่อมเรื่องราวของพะยูนและเกาะลิบงเข้ากับรายละเอียดที่อยู่บนตัวนาฬิกาได้อย่างลงตัว
-
ใช้กลไก Calibre 400 และมีการผลิตออกขาย 250 เรือน โดย 100 เรือนจะจำหน่ายในเมืองไทย
จริงๆ แล้วผมมีโอกาสได้รับทราบข้อมูลและความเคลื่อนไหวของ Thailand Special Project ของทาง Trocadero Time ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกา Oris อย่างเป็นทางการในประเทศไทยมาได้สักระยะหนึ่งแล้วหลังจากที่ได้นั่งคุยกับคุณเต็ม มหาดำรงค์กุล ผู้บริหารของแบรนด์ แน่นอนว่าตอนที่ได้ยินข่าวนี้ครั้งแรก
ผมบอกกับตัวเองว่า ‘จงรีบเคลียร์บัตรเครดิตของตัวเองให้ว่างซะ’ และเมื่อถึงวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันพะยูนแห่งชาติ Oris Payoon Limited Edition ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวออกมาให้คนทั่วโลกได้เห็น และนาฬิกาที่ผมจองเอาไว้ตั้งแต่วันรับพรีออร์เดอร์ล่วงหน้าก็เดินทางมาถึงมือพอดี
บอกเอาไว้ก่อนว่า ผมเป็นคนที่ชอบเรื่องราวของการอนุรักษ์ธรรมชาติมาก ซึ่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตัวเองค่อนข้างอินและติดตามความเคลื่อนไหวของพะยูนเด็กที่พลัดหลงจากแม่แล้วมาเกยตื้นที่จังหวัดกระบี่จากโลกออนไลน์มาตลอด ในตอนนั้น ทีมสัตวแพทย์ได้พยายามผลักดันให้พะยูนน้อยตัวนี้กลับไปสู่ธรรมชาติ
แต่ก็ไม่สำเร็จ และนั่นทำให้พวกเขาต้องพามันมาที่เกาะลิบง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นถิ่นพะยูนของน่านน้ำไทย เพราะว่าค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าทะเล อาหารหลักของพะยูน เพื่อทำการเลี้ยงและอนุบาลให้สามารถใช้ชีวิตในธรรมชาติได้ต่อไปในอนาคต เรียกว่าเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ที่มนุษย์ต้องมาเป็นแม่นมให้พะยูนและเลี้ยงท่ามกลางธรรมชาติไม่ใช่สระปิด
นั่นคือเรื่องราวของ มาเรียม พะยูนที่สามารถหลอมรวมความพยายามของมนุษย์จากทุกฝ่ายให้เป็นหนึ่งเดียวในการทำงานร่วมกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยด้วยเป้าหมายที่ทุกคนมีร่วมกัน แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะไปไม่ถึงสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ และเรื่องของมาเรียมไม่ได้จบลงอย่างมีความสุขอย่างที่ผมรวมถึงทุกคนที่เอาใจช่วยอยากจะให้เป็น แต่มาเรียมก็สามารถกระตุ้นและปลุกกระแสอะไรต่อมิอะไรให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะเรื่องการหันมามองพะยูนที่ถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงการถือกำเนิดของนาฬิกาเรือนนี้
Oris Payoon Limited Edition คือ นาฬิกาที่สื่อถึงพะยูน และมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องราวของมาเรียม แน่นอนว่านี่คือ ปัจจัยแรกที่ทำให้ผมต้องหันมามองและอินไปกับนาฬิกาเรือนนี้ เพราะตรงกับความชอบและความสนใจส่วนตัว
สิ่งต่อมาที่ทำให้ผมหันมามองนาฬิกาเรือนนี้มากขึ้นก็คือ เรื่องราวระหว่างทางของโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนนำไปสู่การเป็นนาฬิกาแบบ Limited Edition เรือนแรกของ Oris ที่มีจุดกำเนิดในประเทศไทย คนไทยเป็นต้นทาง ต้นคิดและผลักดันให้เกิดขึ้นมา พร้อมกับส่งขาย Worldwide ไม่ใช่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศตัวเองเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น ในตอนที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม เราจึงได้เห็นภาพของนาฬิกาเรือนนี้ปรากฏอยู่บน Slide Banner ของหน้าแรกในเว็บไซต์ Oris เลยทีเดียว อันนี้ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก และต้องชื่นชมทาง Trocadero Time ที่มีคุณเต็มเป็นผู้ดูแลแบรนด์ Oris ที่ช่วยผลักดันจนกระทั่ง Oris สวิตเซอร์แลนด์เปิดไฟเขียวให้กับโปรเจ็กต์ในการขึ้นสายการผลิต
ประการต่อมาของความน่าสนใจคือ การเป็น Limited Edition เรือนแรกที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นบนพื้นฐานของ Oris Aquis Date Calibre 400 ซึ่งที่ผ่านมา Oris ยังไม่มีการนำนาฬิการุ่นนี้มาผลิตเป็นรุ่นพิเศษใดๆ เลยนับตั้งแต่เปิดตัวออกสู่ตลาดในปลายปี 2020
นอกจากนั้น นาฬิการุ่นนี้มีชื่อว่า Payoon Limited Edition ซึ่งเป็นการเขียนทับศัพท์ชื่อ พะยูน ในภาษาไทย และไม่ได้ใช้คำว่า Dugong ที่เป็นคำภาษาอังกฤษของพะยูน…อันนี้คือ สิ่งที่น่าภูมิใจอีกประการของนาฬิกาเรือนนี้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าถ้าไม่ใช่ชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อบุคคล ชื่อเมือง ชื่อแม่น้ำ หรือชื่อสถานที่ เราแทบไม่เห็น Oris ใช้ชื่อทับศัพท์จากภาษาท้องถิ่นในการนำมาตั้งให้กับนาฬิกาของตัวเองเลย แต่พะยูนของเราได้รับเกียรติตรงนี้
แค่สตอรี่ของตัวนาฬิกาที่มีความเกี่ยวพันกับคนไทย ผมว่าเท่านี้ก็เทใจให้เกือบหมดแล้ว แม้ว่าจะยังไม่เห็นตัวเป็นๆ เลยก็ตาม
กลับมาที่ตัวนาฬิกากันบ้าง ถ้าคุณถามถึงในแง่ของการสวมใส่และความรู้สึกที่เกิดขึ้นเวลานาฬิกาเรือนนี้อยู่บนข้อมือ ผมก็คงตอบว่า ก็เหมือน Oris Aquis Calibre 400 นั่นแหละ ไปอ่านรีวิวที่ผมเคยเขียนเมื่อ 2 ปีที่แล้วได้เลย
แต่ถ้าคุณถามผมว่านาฬิกาเรือนนี้พิเศษตรงไหน และยังมีเหตุผลอื่นอะไรเพิ่มเติมอีกไหมที่ควรจะต้องเสียเงินเป็นเจ้าของ เอาละ…นอกจากเรื่องข้างบนที่เกริ่นมาแล้ว มาดูสิ่งที่เป็นความเกี่ยวพันในเชิงกายภาพของนาฬิกาเรือนนี้กับสตอรี่ของเรื่องกันบ้าง
จุดเด่นเลยของนาฬิกาที่เป็น Limited Edition เกือบทุกรุ่นของ Oris คือ หน้าปัด ซึ่งเปรียบเสมือนกับหน้าตาของตัวนาฬิกาที่จะทำให้คนที่กำลังเล็งๆ อยู่ตัดสินใจเข้าหาหรือเดินจากไป จริงอยู่ที่ Green is (still) new black และเรายังได้เห็นนาฬิกาหน้าปัดเขียวรุ่นใหม่ๆ เปิดตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า Oris จะจับเอาสีเขียวมาลงในนาฬิการุ่นนี้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพื่อให้อินเทรนด์ แต่มันมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังด้วย
หน้าปัดเขียวที่ว่าคือ การสะท้อนถึงสีพื้นผิวของน้ำทะเลที่อยู่รอบเกาะลิบง ที่เป็นสีเขียวอ่อนๆ แล้วถ้าถามว่าเกาะนี้มีความเกี่ยวพันหรือสัมพันธ์ตรงไหน ? คงต้องบอกอย่างนี้ครับ นอกจากจะเป็นสถานที่เลี้ยงและอนุบาลในช่วงที่มาเรียมมีชีวิตอยู่นั้น เกาะลิบงยังเป็นพื้นที่ทางธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์ในแง่ของหญ้าทะเล ซึ่งเป็นอาหารหลักของพะยูน ดังนั้น พะยูนที่มีอยู่ตามธรรมชาติไม่มากนักก็มักจะมารวมตัวอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมากจนเรียกว่าน่าจะเป็นแหล่งที่มีพะยูนชุกชุมที่สุด เกือบ 60% ของพะยูนที่หลงเหลืออยู่ในธรรมชาติจะใช้ที่นี่เป็นแหล่งอาหารของมัน
เอาเป็นว่าผมมีโอกาสไปลงทริปกับทางทีมงานของ Trocadero Time ในช่วงก่อนการเปิดตัวไม่นาน ได้มีโอกาสตามรอยของพะยูนกับทีมอนุรักษ์ท้องถิ่นที่มีชื่อว่ากลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ดุหยง หรือ Dugong Guard รวมถึงขึ้นเขาบาตูปูเต๊ะที่โหดเอาเรื่องไปยังจุดชมวิว และได้เห็นการเข้ามากินหญ้าทะเลของพะยูนอย่างสม่ำเสมอ ยืนอยู่เกือบ 2 ชั่วโมงกลางแดดเปรี้ยงๆ ได้เห็นอยู่ราวๆ 7-8 ครั้ง ซึ่งน่าจะยืนยันถึงการที่พื้นที่รอบๆ เกาะลิบงคือถิ่นของมันอย่างชัดเจน
สีเขียวของหน้าปัดเป็นโทนอ่อนๆ และเป็นแบบ Gradient ที่มีสีสันเปลี่ยนไปตามการส่องกระทบของแสง ซึ่งตัวสีมีการไล่โทนนิดๆ โดยที่มีสีดำอยู่ตรงขอบนอกของหน้าปัด สีเขียวลักษณะนี้ไม่ค่อยมีให้เห็น และผมว่าเป็นโทนสีที่สวยและลงตัวอย่างมาก แถมยังเข้ากับภาพรวมของตัวนาฬิกาอีกด้วย
ถัดมาคือขอบตัวเรือนที่เป็นสตีล และมีสีเงินออกเทา รวมถึงเป็นขอบแบบนูนสูงไม่ได้มีอินเสิร์ตริงที่ผลิตจากเซรามิกวางแปะลงไป ขอบตัวเรือนประเภทนี้ถูกเรียกว่า Date Relief ตามขอบตัวเรือนที่อยู่ในนาฬิการุ่น Aquis Date Relief ซึ่งก็เช่นกันคือความสัมพันธ์กับสีผิวหนังของพะยูนที่ออกเทาเข้มๆ และที่สำคัญยังเป็นครั้งแรกที่ Aquis Date Calibre 400 มากับขอบตัวเรือนรุ่นนี้ ซึ่งก็ทำให้ดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ
ความพิเศษอีกประการคือเมื่อพลิกที่ฝาหลัง คุณจะพบกับการสลักฝาหลังเป็นรูปของพะยูนแม่ลูกที่ดูสวยและอบอุ่นอย่างมาก พร้อมกับการสลักจำนวนเรือนที่ผลิตจากจำนวนการผลิตทั้งหมด 250 เรือน เหตุที่จะต้องเป็นคู่แม่ลูกนั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ การอยู่ร่วมกันตามธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงเป้าหมายของ Oris ในการเป็นส่วนหนึ่งของการมีช่วยเพิ่มจำนวนประชากรพะยูนในน่านน้ำทะเลไทยให้มากขึ้น
นี่คือ สิ่งที่อยู่ใน Oris Payoon Limited Edition และทำให้นาฬิกาเรือนนี้แตกต่างจาก Aquis Date Calibre 400
ส่วนในเรื่องของสเป็กนั้น ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากรุ่นปกติ Oris เลือกใช้ตัวเรือนไซส์ 43.5 มิลลิเมตรในการผลิต ซึ่งตรงนี้ผมดีใจมาก เพราะ Aquis เป็นนาฬิกาที่มีขาสายสั้นแถมยังงุ้มลงอีก ดังนั้น โอกาสใส่แล้วกางมียากมาก นอกจากจะข้อมือเล็กจริงๆ ดังนั้น ถ้าเปิดตัวออกมาพร้อมกับไซส์ 41.5 มิลลิเมตรที่ในตอนนี้มีรุ่นใหม่ๆ ออกมามากมาย ผมคงต้องแอบเซ็งแน่ๆ เหมือนกับรุ่น Upcycle ที่ผมเฝ้ารอว่าเมื่อไรไซส์ 43.5 มิลลิเมตรจะมาสักที
เอาเป็นว่ากับไซส์ 43.5 มิลลิเมตร ผมว่าขนาดข้อมือบวกลบ 6 นิ้วนิดๆ ยังพอรับมือกับขนาดของตัวนาฬิกาได้ แต่ถ้าจะให้สวยผมว่าข้อมือขนาด 6.5-7 นิ้วคือ ขนาดที่ลงตัวเลย
สำหรับกลไก Calibre 400 ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะกลไกนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความโดดเด่นและยอดเยี่ยมมาแล้วตลอดช่วง 3 ปีที่ทำตลาด และเป็น In-House สเป็กดี คุณภาพแจ่มในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด และสมแล้วกับที่ Oris ใช้ Motto ของกลไกรุ่นนี้ว่า The New Standard ในการเซ็ตมาตรฐานใหม่ให้กับวงการนาฬิกา พร้อมคุณสมบัติเด่นๆ 3 เรื่อง คือ พลังงานสำรองที่นานถึง 5 วัน ความทนทานต่อสนามแม่เหล็กระดับสูง และการรับประกันที่นานถึง 10 ปีเมื่อคุณเข้าไปลงทะเบียนที่ MyOris ในเว็บไซต์
250 เรือนที่ถูกผลิตออกขายทั่วโลกนั้น ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น เพราะจำนวนมีน้อย และเป็น Worldwide Limited Edition อย่างที่บอกไป โดยจำนวนที่ถูกกำหนดคือ ปริมาณของพะยูนที่คาดว่าหลงเหลืออยู่ในธรรมชาติของทะเลไทย โดยจำนวน 100 เรือนจะถูกขายในตลาดเมืองไทย ส่วนอีก 150 เรือนกระจายไปตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก
มาถึงคำถามสำคัญ กับราคา 137,900 บาท ถือว่าคุ้มค่าไหม ? อาจจะด้วยหลายคนสัมผัสกับ Oris มานาน และกับนาฬิกา 3 เข็มของ Aquis Date อาจจะมองว่าเป็นป้ายราคาที่ก้าวกระโดดไปนิดนึง แต่ผมคงต้องบอกอย่างนี้ว่า นี่คือ การพัฒนาบนพื้นฐานของ Aquis Date Calibre 400 ซึ่งรุ่นปกติราคาป้ายก็ตั้งอยู่ราวๆ นี้อยู่แล้ว
นอกจากนั้น รายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกาจะนำไปช่วยสนับสนุนการทำงานของกลุ่มผู้พิทักษ์ดุหยง กลุ่มอาสาสมัครชุมชนของเกาะลิบงในการสำรวจติดตามดูแลแหล่งหญ้าทะเลและเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจตราพื้นที่และช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นในบริเวณเกาะลิบงอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมของนาฬิกาบวกด้วยการออกแบบที่โดดเด่นและสามารถเชื่อมเข้ากับเรื่องราวได้อย่างลงตัว และที่สำคัญคือ สตอรี่ของโปรเจ็กต์นี้ สิ่งที่ผมบอกได้คือ คุ้มครับ และผมคนหนึ่งละที่ลงชื่อจองอย่างไม่ลังเลเลย
รายละเอียดทางเทคนิค : Oris Payoon Limited Edition
- เส้นผ่านศูนย์กลาง: 43.5 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือน ขอบตัวเรือน และสาย: Stainless Steel
- ระดับการกันน้ำ: 300 เมตร
- กระจก: Sapphire ทรงโค้งทั้ง 2 ด้าน
- กลไก: อัตโนมัติ Calibre 400
- จำนวนทับทิม: 21 เม็ด
- ความถี่ในการเดิน: 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง / 4 Hz
- กำลังงานสำรอง: 120 ชั่วโมงหรือ 5 วัน
- ประทับใจ: สีสันของหน้าปัด การเปลี่ยนสาย Quick Change กลไก In-House ที่ยอดเยี่ยมในราคาที่จับต้องได้ การผสานเรื่องราวเข้ากับตัวนาฬิกาอย่างยอดเยี่ยม
- ไม่ประทับใจ: ไม่มี
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline