ในวาระของการฉลอง 90 ปีของ Olympic ในปี 1932 ทาง OMEGA ได้นำเรื่องราวในอดีตมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลไกชุดใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นอย่าง Minute Repeater กับ Split Second Chronograph และติดตั้งอยู่ในนาฬิการุ่น Speedmaster ที่ผลิตจากทองคำ Sedna Gold 18K มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 45 มิลลิเมตร
OMEGA Speedmaster Chrono Chime ที่สุดของรุ่นพร้อมกลไก Minute Repeater
-
การผสมผสานความยอดเยี่ยมแห่งฟังก์ชั่น Minute Repeater กับ Split Second Chronograph
-
ตัวเรือนผลิตจาก Sedna Gold 18K มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 45 มิลลิเมตร
-
ไม่ได้ผลิตแบบจำกัดจำนวน
OMEGA ยกระดับให้กับนาฬิกาจากตระกูล Speedmaster ด้วยกลไกใหม่อย่าง Calibre 1932 ที่ผสมผสานความซับซ้อนของกลไกในแบบ Chronopgraph แบบจับเวลาเข้ากับฟังก์ชั่น Minute Repeater และจะมีจำหน่ายด้วยกัน 2 แบบ โดยในเวอร์ชันที่เน้นความสปอร์ตเข้ากับยุคสมัยใหม่จะเป็นรุ่น OMEGA Speedmaster Chrono Chime
นาฬิการุ่นนี้จะมากับตัวเรือนที่มีขนาด 45 มิลลิเมตรที่อ้างอิงรูปทรงและดีไซน์มาจากนาฬิกา Speedmaster รุ่นที่ 2 หรือ CK2988 ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ถูกสวมใส่ในขณะท่องอวกาศ โดยตัวเรือนและสายได้รับการผลิตจาก Sedna Gold 18K ซึ่งเป็นวัสดุทองแบบผสมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นตามสัดส่วนที่เป็นเอกสิทธิ์ของทาง OMEGA และถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2012
![]() |
![]() |
สิ่งที่น่าสนใจในนาฬิกาเรือนนี้มีอยู่ 2 จุด อย่างแรกคือ หน้าปัดที่ได้รับการสร้างสรรค์อย่างสวยงามในแบบ Grand Feu Enemel แบบกระเบื้องเคลือบพร้อมกับประกายระยิบระยับของท้องฟ้าในรูปแบบ Aventurine ที่มีพื้นสีน้ำเงิน ขอบตัวเรือนด้านในหน้าปัดและหน้าปัดย่อยได้รับการผลิตจากทองคำ Sedna Gold 18K ส่วนอีกเรื่องคือ กลไกใหม่ในรหัส 1932 Calibre ซึ่งเป็นแบบไขลานที่มาพร้อมกับที่สุดของความสวยงามและฟังก์ชั่น
![]() |
![]() |
กลไกรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาโดยทาง Blancpain ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SWATCH Group เช่นเดียวกับ OMEGA และใช้เวลาถึง 6 ปีในการพัฒนาจนสำเร็จ โดยมีการผสมผสานฟังก์ชั่นจับเวลาแบบ Split Chronograph เข้ากับ Minute Repeater โดยจะมีปุ่มควบคุมการทำงานของระบบ Minute Repeater อยู่ในตำแหน่ง 8 นาฬิกา และบนหน้าปัดย่อยในตำแหน่ง 9 นาฬิกาเราจะได้เห็นค้อนแบบคู่ หรือ Double Hammer ที่ผลิตจากทองคำ Sedna Gold 18K ทำงานในการสร้างเสียงที่กังวานและไพเราะ ในการตีลงที่ฆ้องที่ผลิตด้วยทองคำ Sedna Gold 18K พร้อมกับผ่านการปรับแต่งเพื่อให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยชุดฆ้องนี้จะถูกยึดติดอยู่กับตัวเรือน
![]() |
![]() |
ส่วนการทำงานของระบบจับเวลาแบบเข็มแยก หรือ Split Chronograph จะถูกควบคุมด้วยปุ่มที่อยู่ในตำแหน่ง 2 นาฬิกา พร้อมกับการบากร่องโดยรอบและครอบลงไปด้วยวงแหวนเซรามิกเคลือบสีแดงเอาไว้เพื่อสื่อถึงการทำงานของปุ่มกดนี้ที่จะสัมพันธ์กับเข็มวินาทีใหญ่อีกชุดที่มีปลายเข็มสีแดง (Split Hand) ส่วนระบบจับเวลาหลักจะถูกควบคุมด้วยปุ่มกดตรงเม็ดมะยมในแบบ Mono-Pusher
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
กลไกเป็นแบบไขลานเดินด้วยคววามถี่ 5Hz สามารถจับเวลาย่อยได้สูงสุด 1/10 วินาทีโดยอ้างอิงการพัฒนามาจากนาฬิกาพกสำหรับใช้ในการจับเวลาใน Olympic ปี 1932 ซึ่งในปีนี้ครบวาระ 90 ปีพอดี และชิ้นส่วนต่างๆ ได้รับการผลิตจากทองคำที่มีน้ำหนัก 40 กรัมผลิตด้วยมือพร้อมกับการขัดแต่งทั้งแบบขัดด้านและขัดเงา โดยกำลังสำรองสูงสุดอยู่ที่ 60 ชั่วโมง
![]() |
![]() |
OMEGA Speedmaster Chrono Chime ไม่ได้เป็นนาฬิกาแบบผลิตจำกัด แต่มีการผลิตจำนวนไม่มากแต่ไม่ระบุจำนวน โดยนาฬิกาจะมาพร้อมกับกล่องแบบพิเศษที่ผลิตจากไม้วอลนัทที่มาจากป่า Risoud ซึ่งอยู่ตรงชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส ด้วยกรรมวิธีในการขัดแต่งและผลิตแบบเดียวกับที่ใช้ในการผลิตไวโอลิน และในเซ็ตจะมีกระเป๋าหนังสำหรับใช้ในการใส่นาฬิกาสำหรับเดินทางและลูปในการดูความงามของรายละเอียดแต่ละจุดของตัวนาฬิกา ส่วนราคายังไม่มีการเปิดเผย และผู้ที่สนใจจะต้องติดต่อไปทางบูติก
รายละเอียดทางเทคนิค : OMEGA Speedmaster Chrono Chime
- เส้นผ่านศูนย์กลาง : 45.5มิลลิเมตร
- ความหนา : 17.3 มิลลิเมตร
- ความกว้างขาสาย : 21 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือน : ทองคำ Sedna Gold 18K
- กระจก : Sapphire
- กลไก : รหัส 1932 Calibre แบบไขลานมีความเที่ยงตรง Master Chronometer
- ความถี่ : 5Hz
- กำลังสำรอง : 60 ชั่วโมง
- การกันน้ำ : 30 เมตร
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline