OMEGA Days ครบทุกรสจาก 3 คอลเล็กชั่นเด่นแห่งปี

0

OMEGA จัดงาน OMEGA Days พร้อมกับนาฬิการุ่นใหม่สำหรับปี 2022 จากคอลเล็กชั่น Speedmaster Seamaster และ Constellation ออกมาจัดแสดงให้สัมผัสกันอย่างจุใจ และแต่ละเรือนถือว่ามีความน่าสนใจทั้งในแง่ความสวยงาม และสเป็กของกลไกที่ไม่ธรรมดา

OMEGA Days
OMEGA Days

OMEGA Days ครบทุกรสจาก 3 คอลเล็กชั่นเด่นแห่งปี

- Advertisement -

หลังจากที่ทยอยเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องนับจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในตอนนี้ OMEGA ประเทศไทยได้นำนาฬิการุ่นใหม่ที่เป็น Novelties 2022 มาจัดแสดงเพื่อให้สื่อมวลชนและลูกค้าได้สัมผัสกับเรือนจริง และตัวเป็นๆ กับงาน OMEGA Days ที่จะพาคุณสัมผัสกับเรือนเวลาที่ลงไปลึกที่สุดของโลก ไปจนถึงการสืบทอดตำนานอันยิ่งใหญ่ของการเดินทางสู่บนฟากฟ้า และปิดท้ายกับเรือนเวลาสุดหรูในตระกูล Constellation ที่ทำให้คุณได้รู้จักว่า OMEGA  ไม่ได้มีดีแค่ Speedmaster และ Seamaster  เท่านั้น

แน่นอนว่า OMEGA  กับผมเป็นสิ่งที่ผูกพันและชื่นชอบกันมานาน เพราะถ้าคุณเป็นคนที่บ้าเรื่องการเดินทางของอวกาศ Moonwatch ย่อมต้องเป็นสิ่งที่เรียกว่านาฬิกาในฝันอย่างไม่ต้องสงสัย…ผมเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้น เมื่อ OMEGA  ประเทศไทยจัดงาน OMEGA Days คำตอบ ตกลง คือ สิ่งที่หลุดออกมาแทบจะในทันทีหลังจากที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้

OMEGA Days
OMEGA Days
OMEGA Days OMEGA Days

สำหรับงานนี้ผมตั้งเป้าจะไปสัมผัสนาฬิกา 2 รุ่นที่เห็นรูปแล้วชอบในทันที นั่นคือ Seamaster Planet Ocean Ultra Deep และ Speedmaster’57 รุ่นใหม่ ที่มีการลดขนาดตัวเรือนลง พร้อมกับเปลี่ยนกลไกไปเป็นแบบไขลาน แต่สุดท้ายพอไปถึงงานจริงๆ นาฬิกาที่ตรึงความสนใจของผมกลับกลายเป็น Seamaster Aqua Terra ที่มาพร้อมกับหน้าปัดหลากสี และ Constellation โดยเฉพาะตัว Co-Axial Masterchronometer 41 Ref. 131.33.41.21.04.001

OMEGA Days OMEGA Days

ความลงตัวและสวยอย่างโดดเด่น

มีคำพูดติดตลกแบบร้ายนิดๆ ว่าความฮิตและความสำเร็จของ Speedmaster และ Seamaster เป็นเรื่องที่ดี แถมดีมากๆ ด้วย แต่มันกลับทำให้คอลเล็กชั่นอื่นๆ ของแบรนด์ OMEGA ต้องทำงานอย่างหนักถึงหนักมากในการสร้างยอดขายและเข้าไปอยู่ในดวงใจของคนรักนาฬิกา

ถ้าคุณต้องซื้อ OMEGA สักเรือน แน่นอนว่ามันต้องเป็น Speedmaster หรือไม่ก็ Seamaster เท่านั้น นั่นคือ เสียงส่วนใหญ่ที่ผมคิดว่าเกิน 70% ของคนที่กำลังจะซื้อนาฬิกา ดังนั้น บรรดารุ่นอย่าง Deville หรือ Constellation หรือแม้แต่ Seamaster Aqua Terra จึงมักจะถูกมองข้ามเสมอ ในกรณีที่คุณต้องการซื้อนาฬิกาเพียงแค่รุ่นเดียวเท่านั้นจากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ผมก็ไม่ปฏิเสธนะว่าตัวเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ลองทาบขึ้นข้อนาฬิกา 2 รุ่นนี้แล้ว ความคิดผมเปลี่ยนไปแทบจะในทันที Constellation มาพร้อมความงามและความประณีต แถมด้วยความวิจิตรในการสร้างสรรค์ ซึ่งรุ่น Ref. 131.33.41.21.04.001 มาพร้อมกับหน้าปัดขาวแบบ Enamel พร้อมกับขอบตัวเรือนสีน้ำเงินเข้มที่มีการฝังตัวเลขโรมันที่ผลิตจาก Enamel ลงไปโดยทั้งหมดใช้กรรมวิธีที่เรียกว่า Grand Feu

OMEGA Days

มีอยู่ 3 จุดที่ Constellation Ref. 131.33.41.21.04.001 สามารถสะกดความสนใจผมได้ นั่นคือ ความฉลาดในการเลือกคู่สี อย่างขาวและน้ำเงิน ที่เมื่อจับคู่กันทีไรเป็นอันชนะใจผมทุกที และอีกเรื่องคือ ชุดเข็มทรง Alpha Hand ที่แต่ไหนแต่ไรผมไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่เมื่อมีเวลานั่งพิจารณา และใช้เวลาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ กลับกลายเป็นว่า นี่คือ รูปทรงของเข็มที่สวยเลยทีเดียว และสุดท้ายคือ รูปทรงของตัวเรือนแบบไม่มีขาสายพร้อมไซส์ 41 มิลลิเมตร  พร้อมสายแบบไฮบริดที่ด้านหน้าเป็นหนังจระเข้ และด้านหลังเป็นยาง ที่เมื่อขึ้นข้อมือของผม ที่มีขนาด 7 นิ้วแล้ว ต้องบอกว่า ลงตัวแบบสุดๆ

OMEGA Days

ส่วนอีกรุ่นที่ถูกใจคือ Seamaster Aqua Terra รุ่นใหม่ ซึ่งในงานนี้ไม่มีไซส์ 34 มิลลิเมตรมาโชว์ตัว แต่มีรุ่น 38 มิลลิเมตรมาแทน และมาครบทั้ง 5 สี ซึ่งสี สีน้ำตาลอ่อน Sandstone และ สีเหลืองทอง Saffron คือ สีทีเล็งมาจากบ้านว่าจะต้องมาลอง ส่วนตัวยอมรับนะครับว่าค่อนข้างหวั่นๆ กับตัวเรือนไซส์ 38 มิลลิเมตรที่แต่ไหนแต่ไรผมมักจะปฏิเสธนาฬิกาที่มีตัวเรือนต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร แต่พอได้ลองดูแล้ว มันก็ได้นี่หน่ากับข้อมือแบนๆ ของผม

ปัจจัยหนึ่งที่ผมคิดว่า Seamaster Aqua Terra ใหม่พอดีกับข้อมือผมในแง่ความรู้สึก คือ การออกแบบขาสายของตัวเรือนให้ดูบานออกทางด้านข้าง ทำให้พื้นที่ของตัวเรือนดูกว้างขึ้นไม่ดูเล็กเหมือนกับนาฬิกาบางทรง ที่แม้ว่าจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าก็ตาม เรื่องที่ 2 คือ การใช้สายสตีลทำให้ตัวเรือนและสายดูกลมกลืน ไม่ทำให้เกิดความแปลกแยกทางสายตา เหมือนกับว่านาฬิกาดูเป็นชิ้นเดียวกันทั้งตัวเรือนและสาย จึงทำให้มีขนาดดูใหญ่ขึ้น และสุดท้ายคือ การเป็นตัวเรือนแบบขอบบาง ไม่ใช่มีพวกขอบหมุน ช่วยให้หน้าปัดดูใหญ่ และเต็มข้อมือ

ส่วนเรื่องของสี ต้องบอกว่า น้ำตาลอ่อน Sandston คือ สีที่มองข้ามไม่ได้เลย ดูในเน็ตอาจจะจืดๆ แต่บอกว่าให้สัมผัสแบบวินเทจสุดๆ และเล่นแสงเงาได้อย่างสวยและดูมีมิติ ขณะที่สีเหลืองทอง Saffron มีความสวยเด่นในแง่ความจัดจ้านอยู่แล้ว แต่เมื่อส่องกระทบกับแสงแดด จะให้อารมณ์ที่สวยและโดดเด่นขึ้นจากเดิมอีกหลายระดับเลย เรียกว่าในมุมผม สองสีนี้กินกันไม่ลงเลย

OMEGA Days

คอลเล็กชั่นใหม่จาก Speedmaster

  ปีนี้ไฮไลท์เด่นในแง่เสียงฮือฮาคงหนีไม่พ้น OMEGA Speedmaster Moonshine Gold ที่เปิดตัวออกมาเมื่อต้นเดือนมีนาคม ซึ่งมีด้วยกัน 2 รุ่นคือ หน้าปัดเขียวตัวเรือนทอง และตัวเรือนทองพร้อมกับหน้าปัดทอง ซึ่งในงานนี้มีจัดแสดงแค่เรือนเดียวคือรุ่นหลัง ซึ่งหลายคนอาจจะผิดหวังเพราะรุ่นหน้าปัดเขียวน่าจะเป็นตัวฮิตและได้รับความสนใจมากกว่า

Speedmaster Moonshine Gold ผลิตจากวัสดุที่ OMEGA คิดค้นขึ้นมาและเริ่มนำมาใช้ในปี 2019 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากแสงจันทร์ที่เฉิดฉายท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงิน ทอง Moonshine™ 18K ของ โอเมก้า นั้นมีสีที่อ่อนกว่าเยลโลว์โกลด์ 18K ทั่วไปและทนทานต่อการซีดจางมากกว่า โดยเป็นส่วนผสมของทองคำ 75% ทองแดง 9% เงิน 14% และพัลลาเดียม 1% และสิ่งเดียวที่ผมบอกได้เลยว่า น้ำหนักของตัวนาฬิกาดีมาก ดีชนิดที่อาจจะหนักเวลาที่สวมนานๆ เรียกว่าเปรียบเทียบกับน้ำหนักที่ผมไปสัมผัสมาจากรุ่น Ultra Deep ตัวเรือนสตีลรุ่นใหม่ ผมว่า Ultra Deep เบากว่า ทั้งที่มากับตัวเรือนสตีลทั้งหมด

รุ่นต่อมาที่วางข้างกัน คือ CK859 Re-Edition มาในแบบเข็มวินาทีแยก หรือ Small Second พร้อมหน้าตาที่อ้างอิงจากนาฬิการุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวในช่วงทศวรรษที่ 1930 ตัวเรือนแบบสตีลมีขนาด 39 มิลลิเมตร แต่สิ่งที่พิเศษคือ หน้าปัดที่ผลิตจากเงิน AG925 มาพร้อมเครื่องไขลาน 8926 สำรองกำลังงานได้ 72 ชั่วโมง

OMEGA Days

OMEGA Days

ส่วน Speedmaster’57 มาแบบครบๆ พร้อมอารมณ์แบบรักพี่เสียดายน้อง ชนิดถึงกับพึมพำในใจว่า ทำไม  OMEGA ถึงทำเช่นนี้ นั่นเพราะผมชอบตัวเรือนแบบหน้าปัด Sandwich มาก เพราะนอกจากกรรมวิธีที่พิถีพิถันแล้ว ยังมีพรายน้ำที่อมเหลืองเหมือนกับนาฬิกาวินเทจ แต่สุดท้ายเมื่อเห็นตัวจริง กลับกลายเป็นว่า สีแดง สลับขึ้นมาครองใจแทน เพราะมีความสวยและดูลงตัวกับนาฬิการุ่นนี้มาก เรียกว่าเกิดอาการรักพี่เสียดายน้องขึ้นมาทันที

แต่ไม่ว่าจะเป็นหน้าปัดสีใหม่ Speedmaster’57 เป็นรุ่นใหม่ที่มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ตัวเรือนลดลงจาก 41.5 มิลลิเมตรมาเป็น 40.5 มิลลิเมตร ซึ่งส่วนตัวผมในแง่ของไซส์ไม่ได้มีผลอะไรมากในความรู้สึกว่าจะต้องเล็กตามความเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงไซส์บวกกับการออกแบบช่วงขาสาย และตัวสายใหม่ ทำให้การสวมใส่ง่ายขึ้น ขาไม่กางออก และตัวสายก็รับกับตัวเรือน อีกทั้งตรงบานพับยังมีการออกแบบให้สามารถปรับความกว้างแบบละเอียดได้ ทำให้รับกระชับกับข้อมือมากขึ้น

อีกประเด็นของความเปลี่ยนแปลง คือ การย้ายจากกลไกจับเวลาอัตโนมัติมาเป็นแบบจับเวลาแบบไขลาน เรียกว่า เป็นการเปลี่นแปลงชนิดที่ไม่เปลี่ยนอารมณ์ในด้านการใช้งาน เช่นเดียวกับการทำให้ทีมงานสามารถลดขนาดความหนาของตัวเรือนลงได้จากรุ่นเดิมที่เป็นกลไกอัตโนมัติ โดยกลไกไขลานชุดนี้เป็นรหัส 9906 ซึ่งมาแทนที่กลไกเดิมที่เป็นแบบอัตโนมัติในรหัส 9300 โดยกลไกใหม่นี้มาพร้อมระบบ Co-Axial พร้อมความเที่ยงตรงในระดับ Master Chronometer ที่ผ่านการรับรองโดย METAS และมีกำลังสำรอง 60 ชั่วโมง

ดำดิ่งสู่ความลึกใต้ท้องทะเล

การเปิดตัว Ultra Deep ที่เป็นการผลิตในเชิงพาณิชย์ถือเป็นเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อย ซึ่งนาฬิกาเรือนนี้ถูกผลิตเป็นรุ่นต้นแบบสำหรับใช้งานใต้ท้องทะเลลึกจนสามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยตัวเลข 10,925 เมตร (35,843 ฟุต) มากกว่าที่ Rolex กับ James Cameron เคยทำเอาไว้ได้กับ Deep Sea Challenge เป็นสถิติที่เกิดขึ้นในปี 2019 และ OMEGA ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการพัฒนาเพื่อผลิตขายในท้องตลาด หรือ Civilian Version

ถ้าคุณชอบแบบดั้งเดิม มีความใกล้เคียงกับรุ่นต้นแบบที่ลงไปใต้ท้องทะเลลึก ก็ต้อง Ref. 215.92.46.21.01.001 ตัวเรือนไทเทเนียม เกรด 5 สาย NATO หน้าปัดเทา รุ่นนี้มีความใกล้เคียงมากที่สุด แต่ก็ขัดใจผมนิดหน่อยตรงที่ใช้สาย NATO และขาสายแบบ Manta ที่ดูคล้ายปากของกระเบน Manta Ray เพราะความยืดหยุ่นในการใช้งาน เนื่องจากรูปทรงของขาสายแบบนี้ทำให้ยากที่จะเปลี่ยนไปใช้สายแบบอื่นได้ นอกจากคุณอยากได้สายหนังแลทิ้งนาฬิกาเอาไว้แล้วให้ร้านขายสายจัดการเย็บติดแบบตายตัวไปเลย

OMEGA Days

แต่สิ่งที่ประทับใจผม คือ วัสดุที่เรียกว่า O-MEGASTEEL ซึ่งเป็นวัสดุที่ถูกพัฒนาให้มีความทนทาน และทนทานต่อการกัดกร่อนจากการใช้งานทางทะเลด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าสแตนเลสสตีล 316L อยู่ที่ 40-50% โดยที่มีน้ำหนักเบากว่าสตีลทั่วไป ลองคิดดูครับว่า นาฬิกาไซส์ 45.5 มิลลิเมตร และหนาถึง 18.2 มิลลิเมตร บวกกับสายสตีลมาด้วย กลับให้ความรู้สึกที่เบากว่า Speedmaster Moonshine Gold ที่มีไซส์ 42 มิลลิเมตรเสียอีก ถือเป็นอีกวัสดุที่น่าประทับใจมากในเรื่องของน้ำหนัก

Ultra Deep มีจำหน่ายทั้งหมด 7 รุ่นย่อย แต่ในงานนี้นำมาให้สัมผัส 5 รุ่นถือว่าได้ลองกันอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่า ถ้าไม่นับตัวสาย NATO ที่ใช้ไทเทเนียม ตัวเรือนหน้าขาวขอบตัวเรือนสีฟ้าในรหัส Ref. 215.30.46.21.04.001 เป็นสีที่โดนใจมาก โดยนาฬิกาเรือนนี้มีความสามารถในการกันน้ำ 6,000 เมตร หรือมากกว่า Planet Ocean ทั่วไปถึง 10 เท่า ขับเคลื่อนด้วยกลไก 8912 Co-Axial มีความเที่ยงตรงระดับ Master Chronometer ที่มีกำลังสำรอง 60 ชั่วโมง

ส่วนอีกเรือนในตระกูล Seamaster  คือ Seamaster  Diver Pro ที่มากับหน้าปัดเขียวตามสมัยนิยม ซึ่งถือว่าดูสวยและแปลกตาจากที่ผ่านมา ซึ่งเราคุ้นตากับนาฬิการุ่นนี้ด้วยสีน้ำเงินมากกว่า

OMEGA Days

OMEGA Days OMEGA Days OMEGA Days
OMEGA Days OMEGA Days OMEGA Days
OMEGA Days OMEGA Days OMEGA Days
OMEGA Days OMEGA Days OMEGA Days

                ต้องบอกว่า 2022 เป็นอีกปีที่ OMEGA มีผลผลิตที่น่าตื่นตาตื่นใจ และครอบคลุมในเกือบทุกเซ็กเมนต์ของประเภทนาฬิกา เอาเป็นว่าสำหรับแฟนๆ ของแบรนด์ เราคงต้องบอกว่า ‘เตรียมเงินในบัญชีของท่าเอาไว้ให้ดี’