Nomad DevilFish คืนชีพปลาน้ำลึกกับตัวเรือนบรอนซ์

0

อีกผลผลิตจากแบรนด์ Nomad ของคนไทยที่นำความคลาสสิคจากอดีตกลับมาอีกครั้ง กับเจ้า DevilFish นาฬิกาบรอนซ์ที่มีทรวดทรงดุดันที่ได้รับอิทธิพลจาก Bulova Snorkel 666 Feet หรือ Devil Diver ซึ่งเปิดตัวในช่วงทศวรรษที่ 1960

- Advertisement -

Nomad DevilFish

Nomad DevilFish คืนชีพปลาน้ำลึกกับตัวเรือนบรอนซ์

  • ผลผลิตใหม่จากแรงบันดาลของรุ่น Bulova Snorkel

  • ตัวเรือนบรอนซ์ขนาด 47 มิลลิเมตร กลไก Seiko NH35

  • ค่าตัว 8,000 บาท และจำนวนผลิตในตอนแรกระบุ 55 เรือน

ช่วงนี้แบรนด์ Nomad มีอะไรใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องแบบติดๆ กัน เพราะหลังจากที่รับเข้าตัว 66 เข้ามาอยู่ในกรุเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้ไม่นาน เจ้า DevilFishซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ที่เปิดให้รับจองมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็ถึงเวลาส่งมอบ และเดินทางตามมาแบบติดๆ และเป็นอีกครั้งที่ต้องบอกว่า ‘Nomad ไม่ทำให้ผิดหวัง’

อย่างที่เคยอ่าน Review กันมาก่อนหน้านี้ เราเคยแนะนำให้หลายๆ คนได้รู้จักกับชื่อของ Nomad ที่เป็นแบรนด์อิสระของคนไทยซึ่งมีจุดเริ่มต้นอยู่ในกลุ่ม Homage Thai ใน facebook และเน้นการผลิตนาฬิกาที่ใช้บรอนซ์เป็นวัสดุในการผลิต โดยเมื่อนับการขยับตัวกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เจ้า DevilFishถือเป็นผลผลิตที่ 4 ซึ่งเปิดตัวออกสู่ตลาด และมีการผลิตตามที่ระบุคือ 55 เรือน (แต่สุดท้ายก็มีหมายเลข 056 โผล่ออกมาให้เซอร์ไพรส์จนได้ 555)

เมื่อดูตามที่มาของช่วงอายุที่ Nomad DevilFish ได้รับแรงบันดาลใจเราจะพบว่า นาฬิการุ่นนี้ยึดเอารูปทรงของนาฬิกาดำน้ำสุดคลาสสิคของ Bulova มาเป็นแม่แบบ ซึ่งเจ้า Bulova Snorkel 666 Feet ที่เปิดตัวในช่วงทศวรรษที่ 1960 แต่มีการปรับไซส์กันใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย

ตามสเป็กที่เปิดเผยของ Nomad เจ้า DevilFish มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือน 47.5 มิลลิเมตร (Bulova Snorkel มีตัวเลขอยู่ที่ 45 มิลลิเมตร) อาจจะดูใหญ่ แต่เมื่อมอจากภาพรวมทั้งการออกแบบและ Lug to Lug ของตัวนาฬิกาแล้วถือว่าไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย เพราะเจ้า Nomad DevilFish มีตัวเลข Lug to Lug เพียง 50.5 มิลลิเมตร เพราะว่าขาสั้น เรียกว่าขนาดข้อมือ 6.5 นิ้วก็พอรับศึกครั้งนี้ไหว

ขณะที่ความใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากพื้นที่ด้านข้างของตัวเรือนและ Bezel ไม่ใช่เพราะหน้าปัดถูกขยายตามตัวเรือนเหมือนกับนาฬิกาที่ไม่มี Bezel ซึ่งเมื่อดูจากขนาดแล้ว DevilFish มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหน้าปัดราวๆ 33 มิลลิเมตรเท่านั้น ใกล้เคียงกับ Nomad 66 หรือนาฬิกาปกติทั่วไปอย่าง Glycine Airman ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือนแค่ 44 และ 42 มิลลิเมตร (ตามลำดับ) เท่านั้น ความรู้สึกที่ได้จากตัวนาฬิกาก็เลยไม่ใหญ่จนเกินไป เหมือนพวก Pilot Watch ขนาด 47 มิลลิเมตร

DevilFish เป็นนาฬิกาบรอนซ์ที่ใช้วัสดุในเกรด CuSN8 เหมือนกับ 6105 และ 66 ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ความแตกต่างที่ผมสัมผัสได้มาตั้งแต่รุ่นที่แล้วคือ ดูเหมือนว่าความเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวในการเกิด Patina ของนาฬิกาบรอนซ์รุ่นหลังๆ ของ Nomad เกิดขึ้นช้ามาก อย่างเจ้า DevilFish นี่ทั้งใส่ถูกบ้าน ล้างจานมา 2 วัน พื้นผิวยังใสปิ๊งอยู่เลย แต่ถ้าเป็น 6105 นั้น เริ่มคล้ำตั้งแต่เอาออกมาสวมวันแรกเลย

เหมือนกับ 3 รุ่นที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ของแบรนด์ Nomad เจ้า DevilFish มาพร้อมฝาหลังที่ผลิตจาก Stainless Steel 316L พร้อมยิงเลเซอร์เป็นลวดลายของปลาน้ำลึกอย่างเจ้าปลาตกเบ็ดหรือ AnglerFish และสลักหมายเลขที่ถูกผลิตแต่ไม่ได้ระบุจำนวนของการผลิตทั้งหมดกำกับเอาไว้เหมือนกับ Nomad รุ่นอื่นๆ

ในส่วนของหน้าปัด อันนี้ต้องขอชมอย่างมากกับความเนียนและความเปลี่ยนแปลง ในเรื่องความเนียนนั้น ผมรู้สึกว่าใน 2 รุ่นที่เคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้ พรายน้ำที่อยู่บนหลักชั่วโมงดูเหมือนจะไม่ค่อยสว่างและเหมือนกับแต้มมากจนบางทีมองเห็นสีพื้นหน้าปัด ส่วนในรุ่นนี้ทำได้ดีมาก และไม่เจอกับปัญหาที่ว่า จะมีก็เรื่องพรายน้ำที่ยังไม่สว่างจับใจเท่าที่ควรในส่วนของหลักชั่วโมง ขณะที่บนเข็มและหลัก 12 นาฬิกาบน Bezel นั้นสว่างสะใจ

ขณะที่การลงข้อมูลและรายละเอียดบนหน้าปัดมีการจัดวางตัวอักษรได้อย่างลงตัวมาก และการเติมช่องสีเหลี่ยมที่มีคำว่า DevilFish อยู่ข้างในนั้น ผมว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีมาก เพราะถ้ายังจำภาพเดิมของตัวต้นแบบที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ พื้นที่ตรงนี้จะมีตัวอักษร W ที่ดูคล้ายกับโลโก้ของ WordPress ซึ่งดูเหมือนว่า Nomad กำลัง Collaboration กับสักแบรนด์หนึ่ง เพราะหลังจากที่เรือนจริงออกมา โลโก้ W ตรงนี้หายไปทั้งจากบนหน้าปัดและบนฝาหลัง

สีพื้นหน้าปัดปกติของ DevilFish เป็นสีน้ำเงินเข้มแบบ Sunburst มีการเล่นกับแสงอย่างสวยงาม และคนที่จองกับพี่โหน่งไปก่อนหน้านั้นจะมีหน้าปัดอีก 2 สีให้เลือก คือ Dark ที่ออกเทาเข้ม หรือ Bright ที่เป็นสีเทาอ่อน ซึ่งโดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าการใช้สีน้ำเงิน-ส้มของหน้าปัดพื้นฐานนั้น ลงตัวและโดดเด่นอย่างมาก ก็เลยไม่ได้สั่งเปลี่ยนมาตั้งแต่ต้น ขณะที่ชุดเข็มเป็นอีกจุดที่ผมว่าลงตัวกับนาฬิกาเรือนนี้อย่างมาก ทั้งรูปทรงและการให้สี เข็มชั่วโมงมาในแบบทรงแท่งยาวและเข็มนาทีเป็นทรงลูกศร มากับขอบสีส้มเข้ากับรายละเอียดที่อยู่บนหน้าปัด

ขณะที่กระจกเป็นแบบ Double Dome นั่นให้สัมผัสที่แข็งแกร่งและเข้ากับรูปทรงของตัวนาฬิกาได้เป็นอย่างดี โดยมีการวางตัวให้นูนสูงขึ้นจากขอบ Bezel และเมื่อมองในระหว่างใช้งานแล้ว ผมรู้สึกว่ามองแล้วสบายตา และดูง่ายกว่า Double Dome ที่เป็นทรงโค้งและใช้อยู่ในรุ่น 66

สำหรับกลไกก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับรหัส NH35A ของ Seiko

ซึ่งก็คือกลไกในตระกูล 4R35 เมื่ออยู่ในนาฬิกาของ Seiko มีความทนทานและความเที่ยงตรงในระดับที่น่าพอใจ รวมถึงการซ่อมและการดูแลก็ไม่ยุ่งยาก ช่างไทยทั่วไปสามารถรับมือได้หากเกิดปัญหา

ตอนที่ได้มานั้น สายที่ติดตัวเรือนมาเป็นสาย Tropical ที่มีหัวสายขนาด 22 มิลลิเมตร (จริงๆ ในรุ่น Bulova Snorkel นั้นความกว้างขายสาย 20 มิลลิเมตร) และสอบเข้าหาปลายจนมีความกว้างปลายสายที่ 20 มิลลิเมตร ซึ่งก็เหมือนกับรุ่น 66 สายรุ่นนี้ดูสวย แต่ส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไรกับตัวเอง เพราะหารูที่เหมาะสมกับข้อมือไม่ได้ และเมื่อต้องมาแบกน้ำหนักขนาดใหญ่ของ DevilFish ด้วยแล้ว สายยางมีความอ่อนตัว จำเป็นจะต้องรัดให้แน่นขึ้น หากไม่อยากให้นาฬิกาแกว่งไปมาสุดท้ายก็มาจบตรงที่ใส่แล้วอึดอัด และหาเรื่องเปลี่ยนสายในที่สุด

ในเรื่องของการสวมใส่นั้น ตอนแรกที่เห็นหน้าตากับรูปทรงแล้ว ผมยังหวั่นๆ เหมือนกันว่ามันจะโอเคไหม เพราะในกรุผมมีนาฬิกาเรือนเหลี่ยมน้อยมาก และที่เคยใส่ถ้าไม่นับเจ้า DW5600 ของ Casio G-Shock และพวก Smartwatch แล้ว นาฬิกาทั่วไปผมแทบไม่มีประสบการณ์เลย และเมื่อบวกกับรูปทรงและหน้าตาที่ดุดันเข้าด้วยแล้ว อันนี้ยิ่งหวั่นๆ เข้าไปอีก

แต่เมื่อลองขึ้นข้อแล้ว ต้องบอกเลยว่าโอเคและลงตัวมาก ขนาด 47 มิลลิเมตรของตัวเรือน ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องกังวลเหมือนอย่างที่ผมอธิบายมาก่อนหน้านี้ ส่วนความหนาในระดับมากกว่า 16 มิลลิเมตรที่หลายคนอาจจะกังวลว่ามันจะหนาเกินไปนั้น ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ภาพรวมเมื่ออยู่บนข้อมือ (ขนาด 7 นิ้ว) ถือว่าแจ่มมาก

อาจจะมีก็ตรงความไม่สัมพันธ์กันของความกว้างขาสายเพียง 22 มิลลิเมตร เมื่อต้องแบกตัวเรือนที่แบนกว้างในระดับ 47 มิลลิเมตร หลายคนบอกว่าเหมือนกับพวกตัวอ้วนขาผอม แต่ส่วนตัว ผมไม่ติดอะไรตรงนี้ แต่ถ้าคุณซีเรียส ผมว่าลองหาสายขนาด 24 หรือ 26 มิลลิเมตรมาบากก็น่าจะช่วยได้

ค่าตัว 8,000 บาท ต้องบอกว่าเป็นนาฬิกาเรือนแรกในปีนี้ที่ผมมีความรู้สึกหลังจากเงินหลุดออกจากกระเป๋าแล้วไม่รู้สึกคาใจเท่าไร และใครที่สนใจ งานนี้ก็ยังเหมือนเดิมคือ ต้องเข้าไปที่ Facebook และเสิร์ชหากลุ่ม Homage Thai จากนั้นติดต่อไปที่พี่โหน่ง Nirut Jeenyu ดูครับว่ายังมีเหลืออยู่ในสต็อกอีกไหม เพราะถ้าจำไม่ผิดนาฬิกาเรือนนี้ ผมจองเอาไว้ตั้งแต่กลางปี 2018 (จนลืมไปแล้วว่าจองกับเขาด้วย) และรายชื่อทั้ง 55 เรือนที่จะถูกผลิตก็เต็มไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

แต่หลังจากที่มีหมายเลข 056 หลุดออกมา ผมว่าคนที่อยากได้หลังจากที่อ่านรีวิวนี้ยังพอมีโอกาสอยู่นะครับ

ข้อมูลทางเทคนิค : Nomad DevilFish

  • เส้นผ่านศูนย์กลาง : 47 มิลลิเมตร
  • ความหนา : 16.3 มิลลิเมตร (โดยประมาณ)
  • Lug-to-Lug : 50.5 มิลลิเมตร
  • ความกว้างขาสาย : 22 มิลลิเมตร
  • สาย : ยางแบบ Tropical Band และบัคเคิล Bronze
  • กระจก : Sapphire แบบ Double Dome
  • ระดับการกันน้ำ : 200 เมตร
  • กลไก : Seiko NH35A
  • ความถี่ : 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง
  • ทับทิม : 24 เม็ด
  • สำรองพลังงาน : 41 ชั่วโมง
  • ความเที่ยงตรง : -20  ถึง +40 วินาทีต่อวัน
  • ประทับใจ ดีไซน์ ชุดเข็มและหน้าปัด
  • ไม่ประทับใจ สาย ความกว้างขาสายน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับตัวเรือน