(Longines) ลองจิ้นส์ เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับรุ่น Legend Diver ด้วยตัวเรือนที่ผลิตจาก Bronze พร้อมหน้าปัดใหม่ทั้งแบบ No Date และสีเขียวแบบ Gradient
Longines Legend Diver Bronze ตัวเรือนบรอนซ์หน้าปัด No Date
-
การกลับมาของหน้าปัดแบบ No Date ไม่มีหน้าต่างวันที่
-
ตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตรมาพร้อมตัวเรือนวัสดุ Bronze และฝาหลังไทเทเนียม
-
ราคา 109,200 บาท
หลังจากที่เคยทำตลาดอยู่หนักหนึ่งในช่วงประมาณปี 2009-2010 ในตอนนี้ ลองจิ้นส์ ปัดฝุ่นนำหน้าปัดแบบ No Date ไม่มีช่องวันที่กลับมาสู่ตลาดอีกครั้ง โดยการกลับมาครั้งนี้ถื อว่าไม่ธรรมดา เพราะมาพร้อมกับตัวเรือนที่ใช้วัสดุใหม่อย่าง Bronze และความเปลี่ยนแปลง ของสีสันบนหน้าปัด
Legend Diver Bronze ถือเป็นทางเลือกที่ 3 ของวัสดุที่มีอยู่ในตลาดของนาฬิกา ดำน้ำรุ่นนี้ โดยก่อนหน้านี้จะมีขายเฉพาะตัวเรือน Stainless Steel แบบขัดเงาสลับด้าน ก่อนที่จะมีการเปิดตัวรุ่น Stianless Steel รมดำออกมา และคราวนี้เป็นวัสดุอย่าง Bronze และใช้ฝาหลังที่ผลิตจากไทเทเนียม
รูปแบบของของตัวเรือนยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากที่ผ่านมา โดยเป็นนาฬิกาดำน้ำ ทรงคลาสสิคที่ใช้รูปแบบตัวเรือนในสไตล์ Compressor Dive Watch ซึ่งเคยโด่งดังในช่วงปี 1950 ด้วยจุดเด่นในเรื่องของระบบกันน้ำของตัวเรือนด้วยชุดปะเก็นพิเศษ และจะมีเม็ดมะยมอีกเม็ด ทำหน้าที่ในการหมุนขอบสเกดำน้ำเพื่อใช้ในการจับเวลา ซึ่ง Longines ได้นำตัวเรือนแบบนี้มาใช้ในการสร้างสรรค์ Legend Diver รุ่นแรก และก็รวมถึงรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน
ในรุ่น Bronze ใช้รหัส Ref. L3.774.1.50.2
มีขนาดตัวเรือนเท่ากับรุ่นปกติ คือ เส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตร หนา 13.5 มิลลิเมตร และความกว้างขาสาย 22 มิลลิเมตร สำหรับหน้าปัดในรุ่น Bronze จะเป็นแบบ Green Gradient ที่มีการไล่เฉดสีของสีเขียวที่อยู่ตรงกลางหน้าปัดไปจนถึงสีดำของขอบนอกหน้าปัด ให้ความสวยและความคลาสสิคได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ คือ รุ่นนี้มากับหน้าปัดแบบ No Date พร้อมกระจกแซฟไฟร์ทรงยกสูง หรือ Box Shape ที่มีการเคลือบสารกันการสะท้อนที่ด้านในแบบหลายชั้น
ในรุ่นใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงกลไกมาแล้ว โดยใช้รหัส L888 ซึ่งใช้พื้นฐานของกลไก ETA 2894 เดินด้วยความถี่ 25,200 ครั้งต่อชั่วโมง และสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 64 ชั่วโมง พร้อมใยนาฬิกาที่ผลิตจากซิลิคอน ช่วยลดปัญหาผลกระทบอันเกิดมาจากสนามแม่เหล็ก
สำหรับสายนาฬิกาจะเป็นสายหนังแบบเย็นตามสไตล์วินเทจ แต่ในเซ็ตจะมีสาย NATO สีเขียวเพิ่มมาให้ด้วยอีกเส้น
ราคาจำหน่ายในบ้านเราตั้งเอาไว้ที่ 109,200 บาท แพงกว่ารุ่นธรรมดาที่ใช้สายหนัง 30,800 บาท
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/