Hamilton Intra-Matic Auto Chrono : เพิ่มสีใหม่บนตัวเรือน 40 มม.

0

สีใหม่ของ Hamilton Intra-Matic Auto Chrono มาแล้ว กับตัวเรือน  40 มิลลิเมตร และสีหน้าปัดน้ำเงินเข้มในสไตล์ Reverse Panda พร้อมสายหนังสีน้ำตาลอ่อน

- Advertisement -

Hamilton Intra-Matic Auto Chrono

Hamilton Intra-Matic Auto Chrono : เพิ่มสีใหม่บนตัวเรือน 40 มม.

  • เพิ่มสีหน้าปัดในสไตล์ Reverse-Panda

  • สายหนังสีน้ำตาลอ่อน

  • กลไก H-31 สำรองพลังงานได้ 60 ชั่วโมง

หลังจากเปิดตัวหน้าดำ-ขาวในสไตล์ Panda ออกมาได้ไม่นาน ในตอนนี้ทาง Hamilton มีการปรับไลน์อัพของนาฬิการุ่น Intra-Matic Auto Chronoอีกครั้งด้วยสีหน้าปัดใหม่ ส่วนใครที่คาดหวังว่าขนาดตัวเรือนจะใหญ่ขึ้นจากเดิม ที่มีแค่ 40 มิลลิเมตรนั้น เราคงต้องบอกว่า ‘เสียใจด้วย’ เพราะทุกอย่างยังเหมือนเดิม

ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2017 ทาง Hamilton ปัดฝุ่นนำนาฬิการุ่นคลาสสิกของพวกเขาอย่าง Intra-Matic ออกมา Re-Issue ขายใหม่อีกครั้งด้วยตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตร พร้อมหน้าปัดในแบบ Reverse Panda และเป็น Limited Edition เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีของนาฬิการุ่นนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวรุ่นธรรมดาออกมาในปี 2018 ซึ่งในรุ่นนี้มีการลดขนาดตัวเรือนลงเหลือ 40 มิลลิเมตร และใช้หน้าปัดแบบ Panda ที่มีพื้นหลักของหน้าปัดเป็นสีขาวและวงย่อยเป็นสีดำ โดยในปี 2019 ทาง Hamilton มีการขยับตัวอีกครั้งด้วยการเปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ของ Intra-Matic Auto Chronoด้วยสีใหม่ในแบบน้ำเงินเข้ม และเป็นแบบ Reverse Panda

ตรงนี้หมานความว่า Intra-Matic Auto Chronoใหม่จะมีพื้นหน้าปัดหลักเป็นสีน้ำเงินเข้ม ขณะที่วงย่อยของหน้าปัดสำหรับใช้ในการจับเวลานั้นจะเป็นสีขาวออกครีมๆ ขณะที่ตัวเรือนนั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ยังคงไซส์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร และขาสายที่มีความกว้าง 20 มิลลิเมตร พร้อมสายหนังสีน้ำตาลอ่อนฃ

ขณะที่กลไกยังเป็นหน้าที่ของรหัส H-31 ที่เป็นการปรับปรุงมาจากพื้นฐานของ Valjoux 7753 มีจำนวนทับทิม 27 เม็ด และเดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง โดยมีการเพิ่มความจุของพลังงานสำรองเป็น 60 ชั่วโมง และมีการแยกฟังก์ชั่นการเปลี่ยนวันที่มาเป็นแบบ Quick Set Date ที่จิ้มเอาจากรูบนตัวเรือนที่อยู่ในตำแหน่ง 10 นาฬิกา ไม่ต้องไปปรับอะไรตรงเม็ดมะยม

เปิดตัวออกมาให้เห็นหน้าตากันแล้ว แต่กำหนดการลงตลาดยังไม่ได้เปิดเผย และคาดว่าราคาไม่น่าจะต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งตั้งเอาไว้ที่ 2,150 ฟรังก์สวิสส์ ซึ่งในบ้านเราอยู่ที่ 82,000 บาท