Hamilton (แฮมิลตัน) คืนชีพให้กับนาฬิการุ่นพิเศษสุดล้ำสมัยอย่าง Pulsar โดยมีการผลิตรุ่นพิเศษในชื่อ PSR ที่มีการจำหน่าย 2 รุ่นคือ รุ่นธรรมดา และรุ่นพิเศษผลิตจำกัดในแบบสีทองที่มีจำนวนเพียง 1,970 เรือนเท่านั้น
Hamilton PSR คืนชีพ Pulsar สู่โลกอนาคต
-
งาน Re-Issue จากรุ่น Pulsar ที่เปิดตัวในปี 1972
-
มีจำหน่าย 2 รุ่นคือ แบบธรรมดา และ Limited Edition
-
ทุกรุ่นใช้กลไกควอตซ์แสดงผลแบบดิจิตอลพร้อมหน้าจอพิเศษ
นอกจากจะมีคอลเล็กชั่นที่เป็น iconic ที่มาพร้อมกับความคลาสสิคแล้ว ต้องยอมรับว่า แฮมิลตัน คือ แบรนด์ที่มีหัวคิดก้าวหน้าในการนำเสนอความล้ำสมัยอยู่เสมอ นับตั้งแต่นาฬิการุ่น Ventura ที่มีดีไซน์สุดเฉียบ มาจนถึงของใหม่ล่าสุดอย่างรุ่น PSR กับการนำเสนอรูปแบบใหม่ของการบอกเวลาในแบบดิจิตอล
จะว่าไปแล้วงานนี้ก็ไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้ แฮมิลตัน เคยสร้างปรากฏการณ์ให้กับโลกแห่งเรือนเวลามาแล้วกับรุ่น Pulsar ซึ่งเป็นนาฬิกาที่มีดีไซน์ล้ำสมัยด้วยการแสดงผลด้วยหน้าจอดิจิตอล และนั่นคือวันที่ 6 พฤษภาคม 1970
และถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตนาฬิกาข้อมือ แฮมิลตัน ได้แนะนำให้โลกรู้จักกับนาฬิกาดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์เรือนแรกของโลกในระหว่างการเปิดแถลงข่าวที่จัดขึ้นภายในภัตตาคาร The Four Seasons ในนิวยอร์กซิตี้
Pulsar เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อดาวนิวตรอนที่แพร่รังสีออกมาเป็นช่วงๆ โดยดาวดวงนี้จะปล่อยรังสีด้วยความถี่ที่มีความแม่นยำมากเป็นพิเศษ Pulsar เป็นเหมือนกับวัตถุที่หลุดออกมาจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ โดยไม่มีชิ้นส่วนใดเลยที่เคลื่อนที่ ไม่มีเสียงติ๊ก แต่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติด้านความทนทานและความเที่ยงตรงสูงสุด
จากนั้นในปี 1972 แฮมิลตัน Pulsar หรือ P1 รุ่นแรกจึงเปิดให้จับจองเป็นเจ้าของ ด้วยงานดีไซน์ยุคอวกาศแบบดั้งเดิม ที่ตั้งใจให้แมทช์กับเทคโนโลยีสุดล้ำ ตัวเรือนแบบคุชชั่นในดีไซน์ล้ำยุคพร้อมสายนาฬิกาเยลโล่โกลด์ 18 กะรัต ทำให้ผลงานหรูหราชิ้นนี้มาพร้อมกับราคา 2,100 ดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับราคารถยนต์สำหรับครอบครัวเลยทีเดียว Elvis Presley คือลูกค้าในช่วงแรกๆ ที่ร่วมเป็นเจ้าของ หนึ่งใน 400 เรือน
อีกเกือบ 50 ปีต่อมา Pulsar กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มากับชื่อ PSR ด้วยรูปทรงที่แทบลจะถอดแบบหน้าตามาจาก Pulsar แต่ดูร่วมสมัยมากขึ้น โดยที่ตัวเรือนมากับขนาดเส้นผ่านศูนย์กาง 40.8 มิลลิเมตร และ Lug to Lug 34.7 มิลลิเมตร กันน้ำได้100 เมตร โดยที่มีขาย 2 รุ่นคือตัวเรือน Stainless Steel สีเงิน และแบบเคลือบ PVD สีทอง พร้อมสายโลหะ
แม้ว่าจะดูแล้วคล้ายงาน Re-Issue ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่ แฮมิลตัน ทำมากกว่านั้นคือ การอัพเกรดตัวนาฬิกาให้ดีขึ้นเพื่อสอดคล้องกับเทคโนโลยีในช่วงเวลานั้น โดยที่สังเกตได้ชัดเจนคือ หน้าจอดิจิตอลที่เป็นแผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี LED หรือ Liquid Crystal Display เข้ากับ OLED หรือ Organic Light Emitting Display ซึ่งสามารถช่วยตัดแสง และทำให้สามารถมองเห็นเวลาได่อย่างชัดเจนในทุกสภาพแสง
การทำตลาดมีด้วยกัน 2 รุ่นคือ สีเงิน (Ref. H52414130) ราคา 745 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 23,800 บาท และรุ่นพิเศษ Limited Edition PVD สีทอง (Ref. H52424130) ราคา 995 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 31,800 บาท ผลิตเพียง 1,970 เรือนเท่านั้น
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/