สำหรับคนที่กำลังมองหาเรือนเวลาที่น่าสนใจพร้อมความโดดเด่นในด้านต่างๆ จากงาน Central International Watch Fair 2022 นี่คือ 10 เรือนเวลาที่เราคิดว่าคุณไม่ควรพลาดจากงานนี้
10 นาฬิกาเด่นน่าเป็นเจ้าของในงาน Central International Watch Fair 2022
เริ่มแล้ว! สำหรับมหกรรมนาฬิกาสุดยิ่งใหญ่ที่รวบรวมบรรดาแบรนด์นาฬิการะดับแถวหน้าของโลกมาจัดแสดงไว้มากมาย ทั้งนาฬิกาคอลเลกชันใหม่ที่เปิดตัวครั้งแรกในงานนี้ รวมถึงเรือนสุดลิมิเต็ดที่มีเพียงไม่กี่เรือนในโลก กับงาน “Central International Watch Fair 2022″ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.ย. 65 – 31 ต.ค. 65 ที่ Event Hall ชั้น 3 ห้างเซ็นทรัล ชิดลม ซึ่งงานปีนี้ตรงกับวาระแห่งการฉลอง 75 ปีห้างเซ็นทรัล
จึงยกระดับความพิเศษด้วยการจับมือพันธมิตรนาฬิกาชั้นนำกว่า 100 แบรนด์ดังจากทั่วทุกมุมโลก ร่วมอวดโฉมความหรูหราและนวัตกรรมแห่งเรือนเวลา ตั้งแต่ลักชัวรีวอทซ์ มิดเอนด์วอทช์ แฟชั่นวอทซ์ สมาร์ทวอทซ์ ครบครัน พร้อมข้อเสนอที่คุ้มค่ามากกว่าครั้งไหนๆ ซึ่งนอกจากมาช้อปได้ที่งานแล้ว ทางห้างยังเอาใจวอทซ์เลิฟเวอร์ด้วยการเพิ่มช่องทางช้อปปิ้งสุดสะดวกสบายให้ช้อปได้ง่ายทุกที่ทุกวลา ทั้ง Central Chat & Shop ช้อปผ่านแชตไลน์, Central Call & Shop ช้อปผ่านโทร.1425 และช้อปผ่าน Facebook Live และ Inbox ของเฟซบุ๊กเพจห้างเซ็นทรัลอีกด้วย
และหากใครที่กำลังจะไปงาน แต่ยังไม่มี List นาฬิกาในใจ แต่อยากรู้ว่ามีนาฬิกาเรือนไหนที่น่าสนใจบ้าง วันนี้เรามี 10 นาฬิกาเรือนเด่น ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่ Central International Watch Fair 2022 มาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของคุณได้ง่ายขึ้น ให้ทุกคนมา “Discover The Watch That Defines You” เฟ้นหานาฬิกาเรือนที่ ‘ใช่’ ในสไตล์ของคุณ
1. Longines Master Collection 190th Anniversary Limited Edition: ราคา 421,200บาท
ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษ และในวาระที่แบรนด์ Longines มีอายุครบ 190 ปี นับจากการก่อตั้งในปี 1832 ครั้งนี้ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นพิเศษจากคอลเลกชันสุดคลาสสิคอย่าง อย่าง The Longines Master Collection ที่งาน Central International Watch Fair 2022 เป็นที่แรก โดดเด่นด้วยการผสมผสานเอกลักษณ์ความสง่างามคลาสสิกเข้ากับกลไกอันเปี่ยมประสิทธิภาพ ซึ่งพิเศษสุดๆ เพราะตัวเรือนผลิตจากทองคำ 18K และPink Gold 18K และมีจำนวนจำกัดเพียงสีละ 190 เรือนทั่วโลก เรียกว่าหมดจากตลาดไปอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกรุ่นถือเป็นเวอร์ชันพิเศษบนตัวเรือนสแตนเลสสตีล ที่คงดีไซน์และความหรูหราแบบเดียวกัน
ตัวนาฬิกาเป็น Ref. L2.793.4.73.2 ตัวเรือนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร หน้าปัดสีเงินพ่นทรายโดดเด่นด้วยผิวสัมผัสอันมีเอกลักษณ์และตัวเลขอาระบิกที่ผ่านการสลักเสลาอย่างประณีต เข็มนาฬิกาเหล็กกล้าสีฟ้าอันหรูหราทำหน้าที่บอกชั่วโมง นาที และวินาที ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติในรหัส L888 ที่สามารถสัมผัสการขัดแต่งที่สวยงามได้ผ่านทางฝาหลังแบบใส โดยกลไกรุ่นนี้มีกำลังสำรองอยู่ที่ 72 ชั่วโมง และใช้บาลานซ์สปริงที่ผลิตจากซิลิคอน
2. Oris Wings of Hope Gold Limited Edition 100 pieces: ราคา 558,900 บาท
ความพิเศษจากความร่วมมือกับองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่าง Change for the better ของ Oris ที่จับมือกับองค์กรการกุศลที่ชื่อว่า Wing of Hope และได้นำไปสู่การผลิตนาฬิกาแบบ Limited Edition รุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า Oris Wing of Hope Limited Edition เปิดตัวครั้งแรกในงานนี้ โดยจะมีจำหน่ายด้วยกัน 2 รูปแบบคือ วัสดุตัวเรือน ทองคำ 18K และสแตนเลสสตีล รุ่นนี้มีเพียงแค่ 100 เรือนเท่านั้น และในเมืองไทยมีเพียง 15 เรือน เรียกว่าพิเศษแบบสุดๆ
รุ่นตัวเรือนที่ผลิตจากทองคำ 18K มาพร้อมกับเส้นผ่าน 38 มิลลิเมตร ตัวนาฬิการุ่นใหม่นี้จะใช้พื้นฐานของรุ่น Big Crown Pointer Date ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 401 คือ กลไก In-House ที่ถูกพัฒนาต่อเนื่องภายใต้แนวคิดของ The New Standard ที่มาจากกลไก Calibre 400 ซึ่งเปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ ตัวกลไกจึงมีความเที่ยงตรงในระดับสูงใกล้เคียงกับมาตรฐานในระดับ Chronometer รวมถึงมีความทนทานหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกับสนามแม่เหล็ก ที่สำคัญคือ มีกำลังสำรองนาน 5 วัน และการรับประกันที่นานถึง 10 ปี
3. Casio G-Shock Frogman 30th Anniversary Limited Edition: ราคา 25,900 บาท
นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 1993 กับรุ่น DW-6300 ในตอนนี้ Frogman นาฬิกาในคอลเลกชัน Master of G ของ G-Shock กำลังจะมีอายุครบ 30 ปีและในโอกาสที่พิเศษนี้ทาง Casio ได้เปิดตัวรุ่นฉลอง 30 ปีที่มีชื่อว่า Casio G-Shock Frogman GW-8230B-9AJR ออกมา โดยในเมืองไทยมีเข้ามาจำหน่ายครั้งแรกในงานนี้ มีเพียง 20 เรือนเท่านั้น
Frogman ถือเป็นนาฬิกาที่มีความสำคัญของ Casio G-Shock ในแง่ของการเป็นที่สุดในด้านการรวมรวมนวัตกรรมเพื่อการใช้งานอย่างจริงจังในยุคนั้นเข้าไว้ด้วยกัน และถือเป็นนาฬิกาเรือนแรกและเรือนเดียวของ Casio ที่ผ่านมาตรฐานการทดสอบในการเป็นนาฬิกาดำน้ำตามมาตรฐานของ ISO6425 ซึ่งนับจากปี 1993 เป็นต้นมา ทาง Casio เองก็มีการเปิดตัว Frogman ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ในรุ่นฉลองครบรอบ 30 ปีในการทำตลาดนั้น ทาง Casio เลือกใช้ Frogman ในซีรีส์ 8250 ในการพัฒนาโดยเหมือนกับที่ผ่านมาจะมีการเปลี่ยนรหัสเพื่อให้สอดคล้องกับโอกาสพิเศษเป็น 8230 ซึ่งตัวเลข 2 หลักสุดท้ายคือ การฉลองครบรอบ 30 ปี มีฟังก์ชั่นแสดงน้ำขึ้น-น้ำลง และใช้ระบบ Tough Solar เปลี่ยนแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บเข้าในตัวเก็บประจุ และเมื่อกดปุ่มไฟจะมีภาพของสัญลักษณ์ Frogman รุ่นเก่าที่เป็นตัวกบกำลังดำน้ำปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
4. Seiko Prospex Solar Speed Timer Chronograph SSC909P : ราคา 27,500 บาท
ความโดดเด่นที่ถูกสร้างสรรค์จากจุดเริ่มต้นของนาฬิกาจับเวลาเรือนแรกของ Seiko มาสู้การนำเสนอด้วยรูปลักษณ์ที่สวยโดดเด่นเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งนาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกับความงดงามแห่งชัยชนะที่ถูกถ่ายทอดลงบนหน้าปัดซันเรย์สีฟ้าอ่อนเมทัลลิก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเฉดสีถ้วยรางวัล Crystal Trophy สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของนักกีฬาที่แลกมาด้วยความพากเพียร ฝึกฝน และอดทน ตอกย้ำดีกรีความสปอร์ตด้วยโทนสีดำเข้มขรึมที่วงโครโนกราฟ และข้อกลางของสายนาฬิกา ภายในขับเคลื่อนด้วยระบบพลังงานแสง V192 สำรองพลังงานได้ยาวนานสูงสุด 6 เดือน ผลิตในรูปแบบจำนวนจำกัดและนำเข้าจัดจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 230 เรือนเท่านั้น
5.Gorilla Fastback Montreux: ราคา 41,900 บาท
ชื่อของแบรนด์ Gorilla กับบ้านเราอาจจะยังไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไร แต่ต่อไปนี้ชื่อนี้คงจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดบ้านเรามากขึ้น เมื่อทาง Pendulum Thailand ได้นำนาฬิกาอินดี้แบรนด์นี้เข้ามารุกตลาดในบ้านเรา และจะเริ่มด้วยรุ่น Fastback Montreux ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจจากสนามแข่งมาเป็นแม่แบบ
ด้วยแนวคิดในการสร้างสรรค์แบรนด์ที่มีแรงบันดาลใจจากเทคนิคและความงดงามทางศิลปะของวัฒนธรรมแห่งรถยนต์ในแบบคัสตอม ทำให้ชื่อ ‘Gorilla’ สามารถสื่อถึงความโดดเด่นและองค์ประกอบที่ตรงกันข้ามกับปรัชญาการออกแบบของแบรนด์ในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องตลอดกระบวนการสร้างสรรค์
สำหรับรุ่น Fastback Montreux มาพร้อมตัวเรือนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 44 มิลลิเมตรได้รับการผลิตจากวัสดุที่หลากหลายทั้ง Forged Carbon, Ceramic และไทเทเนียม พร้อมหน้าปัดที่ถูกออกแบบโดยได้อินสไปร์มาจากมาตรวัดความเร็วของรถแข่งในอดีต ขณะที่ตัวกลไกขับเคลื่อนในแบบอัตโนมัติเป็น Miyota ในรหัส 8215 ที่มีกำลังสำรองในระดับ 42 ชั่วโมง และสามารถกันน้ำได้ 100 เมตร
6.Grand Seiko Heritage Collection 44GS 55th Anniversary Limited Edition: ราคา 309,400 บาท
เรือนเวลา 44GS จาก ค.ศ.1967 คือ เรือนเวลาที่เป็นศูนย์รวมแห่งหลักการออกแบบที่รู้จักกันในชื่อ “Grand Seiko Style” ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 9 ประการที่ทำให้ Grand Seiko มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและยังคงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เรือนเวลารุ่นใหม่ๆ มาจนถึงปัจจุบัน และครั้งนี้นับเป็นโอกาสพิเศษที่เรือนเวลา Spring Drive รุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัด จะได้ร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 55 ปี แห่งประวัติศาสตร์ของ Grand Seiko ด้วยรุ่น The 44GS 55th Anniversary Limited Edition นำมาให้ทุกท่านได้ชมในงานนี้
ซึ่งผลงานสร้างสรรค์ครั้งใหม่นี้ขับเคลื่อนด้วยกลไก Spring Drive ขึ้นลานด้วยมือ คาลิเบอร์ 9R31 ซึ่งมากับนวัตกรรมสปริงลาน 2 ชุด วางในตำแหน่งขนานกัน สำรองพลังงานได้ถึง 72 ชั่วโมง ความบางของกลไกคาลิเบอร์นี้ โครงสร้างตัวเรือนที่เพรียวบาง และกระจกแซพไฟร์คริสตัลทรงกล่อง ถูกผสานเข้าด้วยกันเพื่อให้ช่างฝีมือทั้งบุรุษและสตรีแห่ง Shinshu Watch Studio สร้างสรรค์ดีไซน์เพรียวบางและคลาสสิกที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณของ 44GS รุ่นดั้งเดิม และทำให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำเพื่อมอบความสบายสูงสุดให้กับข้อมือได้ในขณะเดียวกัน มีเพียง 1,500 เรือน โดยมีหมายเลขประจำเรือนและข้อความ “Limited Edition” (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) สลักอยู่บนฝาหลัง
7. Frederique Constant Classic Highlife Tourbillon Perpetual Calendar Limited Edition 30 pieces: ราคา 1,850,000 บาท
พิเศษ! กับนาฬิกาที่มาพร้อมกับกลไกทูร์บิญองที่สามารถเข้าถึงได้ และยังมีความโดดเด่นทั้งในเรื่องการออกแบบและชื่อชั้นของแบรนด์ที่ไม่ธรรมดา นอกจากนั้น Classic Highlife Tourbillon Perpetual Calendar ยังมีเพียงแค่ 30 เรือนเท่านั้นทั่วโลก
ย้อนกลับไปสู่ความสำเร็จของแบรนด์ในปี 1999 คอลเลกชัน Highlife สะท้อนให้เห็นถึงความความสําเร็จในการออกแบบและผลิตนาฬิกาสวิสที่ดี ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้จาก Swiss Made Luxury โดยจุดเด่นคือการออกแบบหน้าปัดนาฬิกาเป็นครั้งแรกด้วยหน้าปัดสีน้ำเงินเทาเข้ม ซึ่งเป็นสีที่ทันสมัยที่สุดในการผลิตนาฬิการ่วมสมัยและสัญลักษณ์ของความกลมกลืนของสีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทะเลท้องฟ้าและอวกาศ โดยสิ่งเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้และถูกถ่ายทอดลงบนนาฬิกาอย่างต่อเนื่องรวมถึงรุ่นใหม่อย่าง Tourbillon Collection ที่เผยให้เห็นความงดงามของกลไกที่ออกแบบ ผลิต และประกอบอย่างพิถีพิถันบนหน้าปัดขนาด 41 มิลลิเมตร มาพร้อมนวัตกรรมกลไกอัจฉริยะของฟังก์ชั่นปฎิทินตลอดชีพที่สามารถบอกวันที่, วันในสัปดาห์, เดือน หรือ แม้กระทั่ง Leap Year ได้อย่างแม่นยำ ตัวเรือนทองคำแท้ 18K Rose Gold และลวดลายเครื่อง Cotes De Geneve สำรองพลังงาน 38 ชั่วโมง มาพร้อมสายหนังจระเข้สีน้ำเงินและแถมสาย 1 เส้น Limited Edition
8. Garmin Fenix 7X Sapphire Solar White Exclusive Model: ราคา 33,990 บาท
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายและกำลังมองหาสมาร์ทวอทช์สักเรือนที่สามารถตอบสนองได้ทั้งในแง่ฟังก์ชั่นและความสปอร์ต เช่นเดียวกับขจัดปัญหาในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการชาร์จไฟ Garmin Fenix 7X Sapphire Solar คือคำตอบ และโดดเด่นมากขึ้นไปอีกเพราะว่าเป็นรุ่นพิเศษที่เรียกว่า White Exclusive Model ตัวนาฬิกามีขนาด 51 มิลลิเมตรถือเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายในรูปแบบ Adventure ที่น่าสนใจในราคาที่เข้าถึงได้ใช้วัสดุที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนและกระแทก รองรับการใช้งานในรูปแบบ Touch Screen ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายไม่มีสะดุด รองรับการชาร์จแบตเตอรีแบบพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมหน้าจอขนาด 280×280 Pixel
นอกจากนั้นยังมีรูปแบบการออกกำลังกายอัตโนมัติให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปยังมือโปร มีเทคโนโลยี PACEPRO™ ที่ทำให้นักกีฬาวิ่งมือโปรสามารถฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เว้นแม้แต่นักกีฬาวิ่งมาราธอน อีกทั้งยังมาพร้อมเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับค่าสุขภาพต่างๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำ ควบคุมแอปพลิเคชันการฟังเพลงได้บนข้อมือ แถมยังสามารถดาวน์โหลดเพลงมาไว้ฟังแบบ Offline ได้อีกกว่า 2,000 เพลงเลยทีเดียว
9. Maurice Lacroix Pontos S Chronograph: ราคา 125,000 บาท
การนำเสนอการผสมผสานฟังก์ชั่นโครโนกราฟ และการแสดงช่องหน้าต่างวันและวันที่ได้อย่างลงตัว ผ่านรูปลักษณ์สปอร์ต น่าหลงใหล ซึ่งสะท้อนผ่านงานออกแบบที่ฉีกแนวและแตกต่างจากเดิมจนทำให้ Maurice Lacroix Pontos S Chronograph มีความสวยอย่างโดดเด่น
ตัวเรือนผลิตจากสเตนเลสสตีล มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 43.0 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนเพรียวบางผลิตจากเซรามิกสีดำพร้อมด้วยสเกล Tachymeter สำหรับการจับเวลาควบคู่ไปกับการวัดระยะทาง กันน้ำได้ลึก 100 เมตร พื้นหน้าปัดมีให้เลือกระหว่างโทนสีเงินสว่าง หรือสีน้ำเงินเข้ม ขัดแต่งด้วยการพ่นทราย ส่วนวงหน้าปัดย่อยตกแต่งด้วยลายก้นหอยเพื่อสร้างความแตกต่างที่สวยงาม ภายในทำงานด้วยกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติ Cal. ML112 ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สะสมพลังงานได้นาน 42 ชั่วโมง กลไกผ่านการขัดแต่งลวดลาย circular graining และ Côtes de Genève สวมใส่คู่กับสายสเตนเลสสตีลแบบ 3 ข้อหรือสายผ้าสีเทาหรือสีน้ำเงิน
10. Bovet Virtuoso X: ราคา 17,138,000 บาท
ปิดท้ายด้วย เรือนที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง กับ Bovet Virtuoso X ถ้าหากความต้องการของคุณคือ เรือนเวลาที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร มีประวัติความเป็นมายาวนาน และเน้นความสวยงามในเรื่องของฝีมือทั้งในเชิงช่างและศิลป์ Bovet Virtuoso X น่าจะคือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เพราะมีเพียงเรือนเดียวในประเทศไทยและมีแค่ 60 เรือนทั่วโลกเท่านั้น
กลไกนาฬิการะดับมาสเตอร์พีซ ของแบรนด์ Bovet ชึ่งถือว่าเป็น1 ในกลไกที่สลับซับซ้อนแบรนด์ ใช้เวลาในการคิดค้นกลไกภายใต้โรงงานของทางแบรนด์เอง อีกทั้งอีกหนึ่งจุดเด่นกลไก Double face flying tourbillon ซึ่งจดสิทธิบัตรกลไกนี้เฉพาะแบรนด์ Bovet เท่านั้นสำรองพลังงานทั้งหมด 10 วัน ตัวเรือนทำจากทองคำขาว 18K มีขนาด 46 มิลลิเมตร หน้าปัดแกะลายลงแลคเกอร์สีเขียว สามารถบอกเวลาได้ 3 ไทม์โซน อีก 2 ไทม์โซนยังสามารถบอกชื่อเมืองหลักได้ 24 เมือง ผ่านการตั้งปุ่มด้านข้างตัวเรือน สุดลํ้าด้วยการเคลือบสารเรืองแสง Super Luminova ตรงแผนที่โลกเพื่อสามารถอ่านค่าเวลาแม้อยู่ในที่มืด
อีกความพิเศษคือ นอกเหนือจากการคาดอยู่บนข้อมือผ่านทางหนังจระเข้แท้สีเขียวสุดสวยแล้ว ตัวนาฬิกายังสามารถเปลี่ยนได้หลากหลาย ทั้งสลับฝั่งเอาด้านหลังของนาฬิกาขึ้นมาอยู่ด้านหน้าได้ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนเป็นนาฬิกาพกด้วยการคล้องกับสายโซ่ทำจากไวท์โกลด์ที่แถมให้มาด้วยได้อย่างง่ายดายหรือจะเปลี่ยนเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะอีกด้วย
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline