นอกจากรุ่นธรรมดาแล้ว Casio เปิดตัวรุ่นย่อยๆ ของ Rangeman ออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในนั้นคือ GW-9400DJC-1A ที่อยู่ในคอลเล็กชั่น Master in Desert Camouflage
Casio G-Shock GW-9400DJC-1A จ่ายแพงอีกนิด แต่คุ้ม
-
GW-9400DJC-1A อยู่ใน Master in Desert Camouflage Collection
-
เพียบด้วยฟังก์ชั่นของระบบ Triple Sensor เหมือนรุ่น Protrek
-
ราคาตามร้านออนไลน์ไม่แพงมาก ต่างจากรุ่นธรรมดาไม่กี่พัน
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ ถ้าถามผมว่าในวงเงิน 10,000 บาท นาฬิกา Casio G-Shock ที่คุ้มค่าในการใช้งานมากที่สุด คือรุ่นไหน ? อันนี้หมายถึงตามราคาที่หาได้จากแหล่งต่างๆ นะครับ แต่ไม่นับพวกที่เอามาเซลส์กระหน่ำตอนหลังจนคนซื้อป้ายแดงติดดอยจนยืนสั่นหนาวยะเยือกกันเป็นแถว แน่นอนว่าคำถามที่ออกจากปากผมคงมีเพียงรุ่นเดียว นั่นคือ Rangeman ซึ่งจำได้ว่าผมเคยรีวิวรุ่นธรรมดาไปแล้วรอบหนึ่ง ส่วนครั้งนี้มากับสมาชิกใหม่ที่มีรหัส GW-9400DJC-1A กับสายลายพรางทะเลทรายที่แตกต่างด้วยสีสันที่สวยเรียบ พร้อมสายคาร์บอนไฟเบอร์
ในคอลเล็กชั่น DJC หรือ Master in Desert Camouflage Collection ไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่เปิดตัวออกมาราวๆ 2-3 ปีแล้ว แต่ก็ยังพอมีให้เห็นตามท้องตลาด ทั้งตามตู้ที่เป็นร้านของ Casio Thailand รวมถึงตามผู้ค้าที่อยู่ในกลุ่ม Facebook โดยในคอลเล็กชั่นนี้มีผลิตออกมาขายทั้งหมด 3 รุ่นจากนาฬิกาในตระกูล Master of G โดยนอกจาก Rangeman แล้วที่เหลือก็คือ Mudman ในรหัส GW/G9300 และ Mudmaster GWG-1000
ถ้าถามผมว่านาฬิกาเรือนนี้น่าสนใจตรงไหน บอกเลยว่า หลังจากที่ปล่อยเจ้า GW-9400 เรือนแรกที่รีวิวไปให้เพื่อนๆ แล้ว ในใจผมยังวนเวียนอยู่กับ Rangeman เพราะเรื่องความคุ้มค่าของมันนั่นแหละ แต่ครั้นจะกลับไปเอาเจ้าตัวดำ-แดงหรือตัวเขียวที่เป็นรุ่นมาตรฐาน ในใจก็รู้สึกแปลกๆ ประกอบกับวันนั้นไปเดินหน้าตู้ของร้าน Casio Thailand ขาประจำ แถมได้ดีลดีมา ทั้งส่วนลดและการผ่อน 0% 10 เดือน แน่นอนว่าใครเลยจะอดใจไหว แม้ว่าราคาจะแพงกว่าราคาใน Facebook ร่วมๆ 3,000 บาทก็ตาม
แน่นอนว่าสิ่งที่ผมชอบใน Rangeman คือ การเป็นนาฬิกาที่ขนาดไม่ใหญ่เกินไปเหมือนกับพวก Mudmaster หรือ Frogman GWF-D1000 แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไปเหมือนกับพวก Mudman แถมฟังก์ชั่นที่ติดมากับตัวนาฬิกานั้นก็ถือว่าเหมือนยก Protrek มาไว้ที่นี่ เพราะหอบหิ้วเอาระบบ Triple Sensor มาให้ด้วย
ดังนั้น มันจึงสามารถทำงานในด้านการวัดความสูง ความกดอากาศ และอุณหภูมิได้ แถมพ่วงมาด้วยเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ แถมยังมีคงามอึดและถึกตามแบบฉบับ G-Shock จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมหลายๆ คนถึงชอบ Rangeman และนี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งของคำตอบสำหรับคำถามในพารากราฟแรก
นอกจากนั้น อีกสิ่งที่ทำให้ผมเลือกคอลเล็กชั่นนี้คือ การได้สายคาร์บอนไฟเบอร์มาด้วย ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าทั้งแมวดำแมวเขียวที่ขายในไทย แม้ว่าจะได้โมดุลที่เป็น Multiband6 มา แต่สิ่งที่แตกต่างจากเวอร์ชันญี่ปุ่นหรือบางประเทศ คือ มันไม่ได้มากับสายคาร์บอนไฟเบอร์
ขณะที่ผมลองนั่งคำนวนถึงความคุ้มค่าที่มีกับความต่างระหว่างรุ่นธรรมดาที่ใช้สายเรซินปกติที่มีขายในบ้านเรากับ GW-9400DJC-1A แล้ว ไม่ว่าจะซื้อผ่านทางเคาน์เตอร์ตามห้างปกติที่มีส่วนลดประมาณ 15% หรือในกลุ่ม Facebook ราคาของใหม่จะต่างกันอยู่แค่ 2,000-3,000 บาทขึ้นอยู่กับส่วนลดที่แต่ละร้านมีให้ ซึ่งอาจจะดูเยอะ แต่ถ้าแลกมากับความสวยของสีตัวเรือน บวกกับสายคาร์บอนไฟเบอร์แล้ว ผมว่าค่อนข้างคุ้ม…อันนี้ในมุมของผมนะ
ผมมีโอกาสได้ลองสัมผัสกับสายคาร์บอนไฟเบอร์ของ G-Shock มาหลายต่อหลายรุ่น แต่ส่วนใหญ่แล้วจะค่อนข้างแข็งมาก ไม่ว่าจะเป็น Frogman GWF-D1000 หรือตัว GravityMaster GPW-1000 และ GPW-2000 รวมถึง Mudman GW9300 แต่สำหรับสายที่อยู่ใน GW-9400DJC-1A นั้น บอกได้เลยว่านุ่มมือมาก มีความยืดหยุ่นและให้ตัวของเรซินที่หุ้มเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ที่ดีมาก ใส่สบายกว่าสายเรซินของตัวธรรมดาเสียอีก
อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ คือ ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบนาฬิกาของ Casio G-Shock ในแบบทูโทน คือ ตัวกรอบสีหนึ่ง และตัวสายอีกสีหนึ่ง เจ้า GW-9400DJC-1A ก็เลยตอบโจทย์ตรงนี้ได้ และอยู่ในพิสัยที่ไม่ได้แพงโอเวอร์เพราะการถูกอัพราคาโดยผู้ขาย เหมือนอย่างที่ G-Shock รุ่นพิเศษส่วนใหญ่เป็น
ยอมรับเลยว่าการเลือกใช้สีในแง่ภาพรวมของ GW-9400DJC-1A ถูกใจผมมาก เป็นนาฬิกาที่สามารถใส่ได้บ่อยกว่าสีสันแบบแสบทรวงอย่างสีชมพู แต่ก็สามารถสร้างความแตกต่างและโดดเด่นบนข้อมือได้ โดยเฉพาะการใช้สีน้ำตาลอ่อนเพนต์ลงบนฟอนต์ G-Shock Protection Triple Sensor และรูปสามเหลี่ยมบนกรอบที่สอดคล้องกับสีสันบนสายซึ่งเป็นสีน้ำตาลอ่อนพร้อมลายพรางแบบไม่ละลานตาตามแบบฉบับยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในศึกสงครามทะเลทราย
โมดุล 3410 ของ Rangeman ยังเป็นอะไรที่ครอบเครื่องและรองรับกับความต้องการของพวกบ้าฟังก์ชั่นได้อย่างเต็มที่ ส่วนจะใช้งานจริงหรือไม่นั้น นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งโมดุลนี้มากับระบบ Tough Solar สามารถชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ผ่านทางแสงสว่างรูปแบบต่างๆ ส่วนระบบ Multiband6 แม้ว่าบ้านเราจะไม่มีโอกาสได้ใช้งาน แต่ช่วยอัพความเท่อย่างแตกต่างและคุณค่าทางใจได้เพราะมีคำนี้ปรากฎอยู่บนหน้าปัด
ระบบ Triple Sensor เหมือนกับตัว Protrek คือ สามารถรองรับกับในการวัดระดับความสูง ความกดอากาศ อุณหภูมิ และเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยาก กดแค่ปุ่มตรง 3 นาฬิกา หรือที่บนกรอบนาฬิกามีเครื่องหมายลูกศรระบุเอาไว้ เท่านี้ก็เสร็จสิ้นการวัดแล้ว เพียงแต่ถ้าคุณอยากจะใช้ฟังก์ชั่นไหน ก็ต้องคอยกดไล่ทีละครั้งเอาครับ ส่วนข้อเสียอย่างเดียวที่ผมพบ แต่อาจจะไม่ใช่ข้อเสียสำหรับใครทุกคนคือ ด้วยความที่หน้าจอของ Rangeman ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก อาจจะทำให้การมองเห็นไม่สะดวกเท่ากับเวลาดูใน Protrek ที่หน้าจอใหญ่มาก
ฟังก์ชั่นคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ Rangeman น่าสนใจ แต่อีกเรื่องในมุมของผม คือ ขนาดตัวเรือนที่พอเหมาะ เมื่อเปรียบเทียบกับ G-Shock หลายๆ รุ่น ผมมีความรู้สึกว่าเข้าข้อมือ และขนาดกำลังลงตัวเลย ไม่เทอะทะจนเกินไปเหมือนกับพวกเพื่อนๆ ในตระกูล Master of G ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นอีกจุดเด่นเลยก็ว่าได้
เอาละมาถึงเรื่องของความน่าสนใจที่จะหามาครอบครอง ขอตัดในแง่ของการเป็นแฟน G-Shock ที่อะไรออกมาก็เก็บเข้ากรุไปก่อน เพราะถ้าคุณเป็นอย่างนั้น คำถามที่ว่าน่าซื้อหรือไม่ก็คงไม่มี แต่ถ้ามีงบฯ อยู่ก้อนเดียวแล้วจำเป็นต้องเลือก Rangeman สักรุ่นเข้ากรุ ผมว่า GW-9400DJC-1A น่าสนใจ เพราะถ้าลองไล่ดูราคาตามตลาดออนไลน์เท่าที่เห็นอยู่ ค่าตัวของมันต่างจาก Rangeman รุ่นปกติไม่มากนัก อยู่ในหลัก 2,000-3,000 บาท
เอาเป็นว่าส่วนต่างแค่นี้ แล้วได้สายคาร์บอนไฟเบอร์ ความพิเศษของรุ่น และความสวยของการออกแบบที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา ผมว่ามันคุ้มค่าที่จะจ่ายเพิ่มนะ
ข้อมูลทางเทคนิค : Casio G-Shock Rangeman GW-9400DJC-1A
-
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง : 55.2 มิลลิเมตร
-
Lug-to-Lug : 53.5 มิลลิเมตร
-
หนา : 18.2 มิลลิเมตร
-
น้ำหนัก : 93 กรัม
-
กระจก : Mineral Glass
-
กลไก : Module 3410 Multiband 6
-
แหล่งพลังงาน : Rechargable Battery-Tough Solar
-
ระดับการกันน้ำ : 200 เมตร
-
ประทับใจ : สายคาร์บอนไฟเบอร์ ความสวยของการออกแบบ ฟังก์ชั่น
-
ไม่ประทับใจ : ขนาดหน้าจอเล็กไปหน่อย เวลาดูข้อมูล
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigiwatch/