Casio G-Shock Mudmaster GG-B100 ลุยโคลนกับตัวเรือนคาร์บอนไฟเบอร์

0

อีกผลผลิตใหม่ของ Casio G-Shock จากเทคโนโลยีตัวเรือน Carbon Core Guard โดยคราวนี้มากับรุ่น GG-B100 เน้นการลุยในสไตล์ MudMaster และจะทำตลาดด้วยกัน 3 รุ่นสำหรับญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคมนี้

Casio G-Shock Mudmaster GG-B100
Casio G-Shock จากเทคโนโลยีตัวเรือน Carbon Core Guard

Casio G-Shock Mudmaster GG-B100  ลุยโคลนกับตัวเรือนคาร์บอนไฟเบอร์

  • ผลผลิตจากคอลเล็กชั่น MudMaster กับตัวเรือนคาร์บอนไฟเบอร์

  • มาพร้อมโมดุล Quad Sensor

  • เริ่มขายในญี่ปุ่น 3 รุ่นในเดือนก.ค.นี้

- Advertisement -

หลังจากตกเป็นข่าวอยู่สักพัก ในที่สุด Casio ก็เผยรายละเอียด MudMaster รุ่นใหม่ออกมาแล้ว กับรหัส GG-B100 ซึ่งจะประเดิมตลาด 3 รุ่นย่อยในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ Casio เรียกว่า Carbon Core Guard

ในปีนี้ต้องบอกว่าเป็นปีที่ Casio ให้ความสำคัญกับวัสดุที่เรียกว่าคาร์บอนไฟเบอร์อย่างมาก และถือเป็น The Third Material หรือวัสดุลำดับ 3 ที่มีความสำคัญในการนำมาผลิตนาฬิกาของพวกเขาต่อจาก Resin และ Metal ที่เราคุ้นเคยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว โดย Casio นำคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ในการผลิตตัวเรือนด้านในหรือ Case ของตัวนาฬิกาที่อยู่ในกลุ่มนี้และเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Carbon Core Guard โดยนาฬิกาที่ถูกเปิดตัวออกมาในคอลเล็กชั่นนี้จะมีทั้งหมด 4 รุ่น คือ GA-200, GWR-B1000 ที่อยู่ในกลุ่ม GravityMaster, GST-B200 ที่อยู่ในกลุ่ม G-Steel และ GG-B100 ที่อยู่ในกลุ่ม MudMaster

GG-B100 ถือเป็นทางเลือกที่ 4 ของนาฬิกาในกลุ่ม MudMaster ที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ โดยตัวเรือนได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูสวยและสปอร์ตขึ้นแต่ก็มีกลิ่นอายของพี่ใหญ่อย่าง GWG-1000 อยู่ โดยสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในเรื่องของงานออกแบบคือ การใช้ Bezel หรือขอบตัวเรือนที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนฝาหลังของตัวนาฬิกาผลิตจากเรซิน

สิ่งที่ยังไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการคือ ขนาดตัวเรือนของ GG-B100 ว่าจะอยู่ในระดับไหน เพราะทาง Casio จะเตรียมทำตลาดนาฬิการุ่นนี้ในเดือนสิงหาคมนี้ ก็เลยยังต้องรอสเป็กแบบครบๆ กันไปก่อน เช่นเดียวกับรหัสโมดุล ส่วนเรื่องฟังก์ชั่นที่มีการเปิดเผยออกมาตอนนี้คือ ตัวนาฬิกามีความสามารถในการกันฝุ่นและโคลนตามสไตล์ MudMaster แต่จากข้อมูลที่เราสามารถหาได้จากอินเตอร์เนตแบบยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการนั้น คาดว่าตัวเรือนจะมี Lug to Lug ถึง 55.4 มิลลิเมตร และหนาถึง 19.3 มิลลิเมตร

ส่วนโมดุลสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนผ่านทาง Application G-Shock Connected ทำให้สามารถปรับเวลาได้สะดวกครอบคลุม 300 เมืองทั่วโลก และการปรับเวลาตาม Server Time รวมถึงการบันทึกพิกัด หรือ Mission Log ในการเดินทางได้ รวมถึงการติดตั้งเซ็นเซอร์ถึง 4 ตัว ทำให้มีความหลากหลายในการทำงานมากขึ้น เช่น การวัดความสูง ความกดอากาศ เข็มทิศดิจิตอล การแสดงช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น-ลง และการนับจำนวนก้าว หรือ Step Counter ได้อีกด้วย โดยจะแสดงรายละเอียดผ่านทางหน้าจอดิจิตอลที่อยู่ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกา แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช้ระบบ Tough Solar แต่เป็นแบตเตอรี่แบบปกติที่มีอายุประมาณ 2 ปี

3 รุ่นที่จะทำตลาดคือ GG-B100-1A3JF สายสีเขียว ตามด้วย GG-B100-1AJF และ GG-B100-1A9JF โดยจะมีราคาอยู่ราวๆ 48,000 เยนและจะเริ่มขายในญี่ปุ่นเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนเวอร์ชันตลาดโลกนั้น ว่ากันว่าจะมีเพียงรุ่นเดียวคือ GG-B100-1A3JF สายสีเขียว กับราคา 350 เหรียญสหรัฐฯ และจะทำตลาดหลังจากนั้นอีก 1 เดือน