เมื่อสุดยอดนาฬิกาจับคู่กับความคลาสสิค CASIO G-SHOCK MR-G Series

0

25 ปีผ่านไปชื่อของ MR-G คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงนิยามของความเป็นสุดยอดของแบรนด์ G-SHOCK  MR-G คือสุดยอดของความแข็งแกร่งและความงามที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด และในวันนี้ CASIO ได้เปิดศักราชกับคอลเล็กชั่นใหม่คือ MRG-B5000 ที่มีเอกลักษณ์ด้านดีไซน์หน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมตามแบบฉบับรุ่นแรกและทรงคุณค่าด้วยความหรูหราและแข็งแกร่งที่เป็นงานฝีมือจากญี่ปุ่น

CASIO G-SHOCK MR-G Series
CASIO G-SHOCK MR-G Series

เมื่อสุดยอดนาฬิกาจับคู่กับความคลาสสิค CASIO G-SHOCK MR-G Series

  • MR-G เป็นนาฬิกาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 1996 และในปัจจุบันถือเป็นรุ่นแฟลกชิพจาก G-SHOCK

  • ตลอดเวลาที่ผ่านมา MR-G นำเสนอความล้ำสมัยของวัสดุที่ผสมผสานเข้ากับงานฝีมือจากญี่ปุ่น สะท้อนผลงานผ่านตัวเรือนนาฬิกาที่ผลิตขึ้นด้วยวัสดุที่เน้นความเป็นสุดยอดทั้งด้านความแข็งแกร่งและความงามตามแบบฉบับของ G-SHOCK

  • สำหรับรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ถือเป็นการย้อนรอยความสำเร็จด้วยการนำองค์ความรู้ที่ยอดเยี่ยมของ CASIO ในการผลิต MR-G โดยคงเอกลักษณ์ความคลาสสิคของดีไซน์หน้าปัดทรงเหลี่ยมของ DW-5000C รุ่นต้นกำเนิด

- Advertisement -

ในปี 1983 CASIO เปิดตัวนาฬิการุ่น DW-5000C ที่เป็นรุ่นแรกของ G-SHOCK ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานต่อแรงกระแทก หลังจากนั้นได้เปิดตัวรุ่นโลหะล้วนดีไซน์เอกลักษณ์หน้าปัดทรงเหลี่ยมตามแบบฉบับรุ่นแรกด้วยรุ่น GMW-B5000 และในปีนี้ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับบรรดาแฟนๆ G-SHOCK เป็นอย่างมาก ด้วยรุ่น MRG-B5000 ที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของนาฬิกา G-SHOCK จากซีรี่ย์ MR-G โดดเด่นด้วยหน้าปัดทรงเหลี่ยมมีความเป็นสุดยอดของความหรูหราที่เงางามและแข็งแกร่ง มาด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นใหม่ล่าสุดคือ MRG-B5000B-1DR (สีดำ) และ MRG-B5000D-1DR (สีเงิน)

CASIO G-SHOCK MR-G Series
CASIO G-SHOCK MR-G Series

ผสานเอกลักษณ์เข้ากับงานฝีมือ

ในปี 2022 วาระของการฉลองครบ 25 ปี นาฬิกาตระกูล MR-G กลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม และพลิกภาพลักษณ์ของความเป็น MR-G อย่างที่เราคุ้นเคยกันมาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในครั้งนี้ CASIO G-SHOCK นำเสนอรูปแบบใหม่ของ MR-G รุ่นล่าสุดในปี 2022 ผ่านตัวเรือนทรงเหลี่ยมของรุ่นต้นฉบับ DW-5000C  แต่เหนือกว่าอีกขั้นด้วยการใช้วัสดุและการขัดแต่งที่เหนือระดับและเต็มไปด้วยความประณีต

G-SHOCK MRG-B5000 มีการลดขนาดและใช้ตัวเรือนสไตล์เดียวกับนาฬิกาในตระกูล 5000 และต่อมาเป็นรุ่น 5600 ซึ่งถือเป็นนาฬิกาที่เป็นจุดเริ่มต้นของ G-SHOCK เมื่อปี 1983 โดยถือเป็นครั้งแรกที่ CASIO จับเอา MR-G มาผสมผสานกับดีไซน์ที่เป็น Iconic ของแบรนด์อย่างรุ่น DW-5000C และมีจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่นย่อยคือ

CASIO G-SHOCK MR-G Series CASIO G-SHOCK MR-G Series

MRG-B5000B-1DR ตัวเรือนสีดำ และ MRG-B5000D-1DR ตัวเรือนสีเงิน

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าดูภายนอก ทั้ง MRG-B5000B-1DR และ MRG-B5000D-1DR อาจจะดูเรียบง่ายเหมือนกับนาฬิการุ่น DW-5600 แต่นาฬิการุ่นนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความซับซ้อนและรายละเอียดที่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบของชิ้นส่วนที่อยู่บนตัวเรือนซึ่งมาในแบบ Multi-Guard Structure ซึ่งเป็นโครงสร้างตัวเรือนแบบใหม่จาก CASIO ที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนมากมายจำนวนถึง 25 ชิ้นในตัวนาฬิกาซึ่งสอดประสานหน้าที่ในการรองรับแรงกระแทก

CASIO G-SHOCK MR-G Series CASIO G-SHOCK MR-G Series

การใช้วัสดุแบบใหม่ที่ถือว่าเป็นวัสดุชั้นสูงตามจุดต่างๆ ในตัวนาฬิกา เช่น วัสดุ “COBARIAN” บนชิ้นส่วนที่เป็นพื้นผิวด้านบนของขอบตัวเรือน ซึ่งมีความแข็งแรงและทนทานกว่าไทเทเนียมถึง 4 เท่า และมีความสวยที่เป็นประกายเงางามมากกว่าแพลททินัม

ส่วนสายผลิตจากวัสดุที่เรียกว่า “DAT55G“ ซึ่งเป็นวัสดุผสมของไทเทเนียมซึ่งมีความแข็งแกร่งมากกว่าไทเทเนียมบริสุทธิ์ถึง 3 เท่า มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนและยังให้ความเงางามบนพื้นผิว เช่นเดียวกับการใส่ใจในเรื่องของสายนาฬิกาที่มีรายละเอียดและความน่าสนใจมากขึ้น สายของนาฬิการุ่นนี้ใช้โครงสร้างแบบพิเศษ โดยมีหมุดแยกออกจากกันฝังอยู่ในรูทรงกลมในข้อสายโลหะแต่ละชิ้น เพื่อให้สามารถขัดแต่งได้อย่างละเอียดและได้มาซึ่งสายนาฬิกาที่มีพื้นผิวงดงามทัดเทียมเช่นเดียวกับกรอบตัวเรือนแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดอย่างถึงที่สุด

CASIO G-SHOCK MR-G Series
CASIO G-SHOCK MR-G Series

นอกจากนี้ ตัวเรือนและสายยังถูกขัดแต่งอย่างพิถีพิถันโดยช่างฝีมือจากประเทศญี่ปุ่นของ CASIO ที่เคยฝากผลงานเอาไว้มากมายกับนาฬิการุ่นต่างๆ ในตระกูล MR-G รุ่นที่ผ่านๆ มา และมีการใช้กรรมวิธีขัดเงาและสลับด้านที่สามารถสร้างสรรค์ความสวยงามให้กับตัวนาฬิกาได้เป็นอย่างดี

CASIO G-SHOCK MR-G Series

CASIO G-SHOCK MR-G Series
CASIO G-SHOCK MR-G Series

สามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ได้ในระยะ 2 เมตร ปรับเวลาได้ทั้งผ่านทางแอปพลิเคชัน “CASIO WATCHES”และ Multiband6 โดยจุดที่ต่างออกไปคือ นอกจากนี้โมดุลนี้สามารถแสดงเวลา 5 เมืองจาก 39 เมืองทั่วโลก พร้อมกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Tough Solar) ซึ่งเมื่อชาร์จจนเต็มสามารถทำงานได้ต่อเนื่องนานถึง 22 เดือนโดยที่ไม่ต้องโดนแสง

นอกจากนั้น MR-G ยังถือเป็นนาฬิกาเพียงไม่กี่รุ่นของ CASIO ที่ถูกผลิตโดยโรงงานที่มีความทันสมัยและใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตซึ่งตั้งอยู่ที่ยามากาตะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะรับหน้าที่ในการผลิตเฉพาะรุ่นที่เป็น Premium Model ของ CASIO G-SHOCK โดยเฉพาะ

สิ่งเหล่านี้คือ ผลผลิตที่เกิดจากการตกผลึกทางด้านแนวคิดและการนำเสนอที่ทาง CASIO G-SHOCK ได้สั่งสมมาตลอด 25 ปีของการผลิตรุ่น MR-G และการเปิดตัวรุ่น MRG-B5000B-1DR และ MRG-B5000D-1DR ถือเป็นแนวทางใหม่ที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับ MR-G ได้อย่างโดดเด่นและยังเป็นการผสมผสานองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่ CASIO มีอยู่ให้เข้ากับตำนานที่เป็นต้นกำเนิดของ G-Shock ได้อย่างลงตัว