Casio G-Shock GW9400-1DR : Casio Rangeman เรือนเดียวจบครบทุกความต้องการ

0

ถ้าในกรุจำเป็นจะต้องมี Casio เพียงแค่เรือนเดียว…คุณจะเลือกอะไร ? ถ้ามีคนเดินเข้ามาถามคำถามนี้เมื่อสัก 7 ปีที่แล้ว ผมจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าต้องเป็นกลุ่ม G-Shock Master of G อย่าง Frogman และจะต้องเป็นรุ่น GW200 เท่านั้น แต่สำหรับตอนนี้ เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว และคำตอบที่ได้อาจจะไม่น่าเป็น Casio G-Shock ที่เกิดมาเพื่อการดำน้ำอย่าง Frogman อีกต่อไปแล้ว

Casio G-Shock GW9400-1DR : Casio Rangeman เรือนเดียวจบครบทุกความต้องการ
Casio G-Shock GW9400-1DR : Casio Rangeman เรือนเดียวจบครบทุกความต้องการ

Casio G-Shock GW9400-1DR : Casio Rangeman เรือนเดียวจบครบทุกความต้องการ

- Advertisement -

สารภาพเลยว่านับตั้งแต่ Casio G-Shock GW9400-1DR พยายามสร้างไลน์อัพใหม่ในกลุ่มนาฬิกา Master of G ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พวกเขาทำได้ดีกว่ายุค 4 เกลออย่าง Frogman, Mudman, Gulfman และ Riseman เพราะมีนาฬิกาที่โดนในแง่ดีไซน์อย่างมาก และยิ่งถูกจริตผม (และเชื่อว่าคนส่วนมาก) ก็ตอนที่เปิดตัว ‘เจ้าแมว’ Rangeman ออกมาเมื่อปี 2014

ในแง่ของการออกแบบ ผมเชื่อว่า Rangeman อาจจะขัดใจใครหลายคนในตอนแรกเพราะความไม่คุ้นตา โดยเฉพาะปุ่มกดไฟในตำแหน่ง 6  นาฬิกาที่ดูแล้วแปลกๆ  ยื่นๆ ออกมาพิกลเหมือนกับคางของสฟิงค์ และสารภาพเลยว่า ผมโคตรจะไม่ชอบเอาเสียเลย

แต่ก็ไม่น่าเชื่อเช่นกันที่มันจะกลายเป็นเอกลักษณ์ของ G-Shock รุ่นหลังๆ ซึ่งมีหลายรุ่นที่ดีไซน์ลักษณะปุ่มกดไฟแบบนี้ และกลายเป็นว่าผมต้องเปลี่ยนใจและหันมาซื้อ Rangeman อยู่ในครอบครอง

นอกจากดีไซน์แล้ว ผมเชื่อว่าอีกปัจจัยที่ทำให้ Rangeman ได้รับความนิยมคือ ความครบเครื่องของตัวมันเองเพราะถ้าลองให้นึกแบบคิดเอาเองแล้ว สาวกของ Casio ส่วนใหญ่ นอกจากจะมี G-shock อยู่ในกรุแล้ว พวกเขาก็มักจะปันใจและแอบเหล่นาฬิกาข้ามตระกูลอย่าง Protrek อยู่เป็นประจำ เพราะถือเป็นนาฬิกาสำหรับพวกบ้าฟังก์ชั่นของจริง และ Rangeman ก็ทำให้เราสามารถสวมความสปอร์ตของ G-shock อยู่บนข้อมือ โดยที่มีฟังก์ชั่นแบบครบเครื่องจาก Protrek ติดมาด้วย…ในราคาที่ถูกกว่า (เมื่อเปรียบเทียบกับบางรุ่น)…แจ่มกว่านี้มีอีกไหม

การติดตั้ง Triple Sensor เข้ามาทำให้ Rangeman สามารถทำอะไรได้เหมือนกับ Protrek ทั้งในเรื่องการวัดระดับความสูง ความกดอากาศ และเข็มทิศ โดยที่มีฟังก์ชั่นการวัดอุณหภูมิแถมเข้ามาด้วย แต่ที่เหนือกว่าคือความถึกในสไตล์ G-Shock ซึ่งนี่แหละคือปัจจัยที่ทำให้ Rangeman คือ G-Shock ในวงเงินไม่เกิน 1 หมื่นบาท (ราคาที่หาซื้อตามเว็บไซต์) ที่หลายคนเลือกที่จะเก็บเข้ามาในกรุ เพราะมีฟังก์ชั่นการใช้งานครบ

ตอนที่เปิดตัวออกมาตอนแรก Rangeman มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ ดำกับเขียว และที่น่าสนใจคือ พวกเขาเลือกสร้างความต่างระหว่างเวอร์ชัน Inerrnational กับ JDM ด้วยรูปแบบที่แปลกออกไป ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาจะผลิตออกมา 2 โมดุลคือ Multiband (จะกี่เสาก็แล้วแต่) กับ WorldTime ที่เหมาะกับประเทศที่ไม่ต้องพึ่งระบบ Multiband แต่ตอนนี้มีแค่โมดุลเดียว แต่ไปสร้างความต่างอย่างอื่นแทน

จริงๆ แล้วประเด็นนี้ ถ้าคุณสังเกตให้ดีเราจะพบเห็นกันมาก่อนแล้วตั้งแต่ในกลุ่มนักบิน Gravity Defier รหัส GWA1000 ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันที่ขายในไทยหรือญี่ปุ่นก็มีโมดุลเดียวกันทั้งที่เมื่อก่อนบ้านกับการขายโมดุลที่เป็น Multiband ไม่ว่าจะ 5 หรือ 6 ไม่เคยปรากฏตัวออกมาอย่างเป็นทางการ (ไม่นับของหิ้ว) เพราะฟังก์ชั่นนี้บ้านเราใช้ไม่ได้

ถ้าเอาตามความเข้าใจผม คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของต้นทุน เพราะทำไม Casio จะต้องเสียเงินเพิ่มความวุ่นวายในการผลิตออกมา 2 โมดุลด้วย อีกอย่างพวกที่เป็น Mania ของ G-Shock มักจะชอบความเป็น Multiband เสมอ (ทั้งที่ไม่ใช่ใช้งานเลย) เพราะมันเป็นความเชื่อฝังใจมาตั้งแต่สมัยก่อนว่า มันคือ G-Shock ที่มีความพิเศษ

กลับมาที่ความต่างตรงนี้ ถ้าลองสังเกตดีๆ บางครั้งสิ่งที่ต่างระหว่าง JDM กับเวอร์ชัน International ไม่ได้มีแค่โมดุลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย เช่น สาย ซึ่งนับตั้งแต่ Mudman G9300 เป็นต้นมา พวกเขาเริ่มนำเอาคาร์บอนไฟเบอร์มาเป็นส่วนผสมในการทำสาย และก็เป็นสิทธิ์พิเศษเฉพาะรุ่น JDM เท่านั้น และก็ยังเป็นสิทธิ์พิเศษถึงตอนนี้ด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าสำหรับคนเล่นในบ้านเรากับราคาที่แพงขึ้นจากรุ่นธรรมดาอีกสัก 2,000-3,000 บาท พวกเขายอมที่จะจ่ายได้ แต่สำหรับผม คิดว่าคงไปไม่ถึงแน่นอน เพราะอย่าง Rangeman GW9400-1DR ที่ได้มาเรือนนี้ก็เน้นไปที่ความคุ้มค่าของราคากับฟังก์ชั่นเป็นหลัก ส่วนเรื่อบจะมีหรือไม่มี Multiband บอกตามตรงไม่ได้อยู่ในหัวเลย เพราะอย่างไรก็ตาม แทบจะไม่ได้ใช่เลย

เมื่อเทียบกับ Mudman G9300 แล้ว ต้องยอมรับว่าผมตกหลุมรักเจ้า Rangeman อย่างมาก ด้วยเหตุผล 2 เรื่อง คือ ขนาดที่พอเหมาะ ไม่เล็กจนเกินไป เพราะถ้าคุณเป็นพวกเจอของใหญ่มาก่อนอย่าง Frogman GF-1000 นาฬิกาที่เหลือแทบจะเล็กไปโดยปริยาย และอีกเรื่องคือฟังก์ชั่นที่มีอยู่ในนาฬิกาเรือนนี้ ซึ่งตอนแรกผมมักจะเทสต์ความรู้ในการใช้งานแบบไม่ต้องพึ่งแมนนวลอยู่เสมอเวลาที่ได้ G-Shock รุ่นใหม่ๆ มาเพื่อดูว่าพวกเขาออกแบบนาฬิกาได้เป็นมิตรกับการใช้งานมากน้อยแค่ไหน

แน่นอนว่า 4 ปุ่มที่เรียงในแบบ 10-2-4-8 นาฬิกาของ G-Shock ทุกรุ่น ไม่มีปัญหาในการทำความเข้าใจ เพราะระบบถูกวางเอาไว้แทบจะเหมือนกันทั้งหมด แต่ปรากฏว่า มีแค่จุดเดียวเท่านั้นที่ผมหาไม่เจอคือ ปุ่มกดเพื่อวัดระดับความสูง ความกดอากาศ และเข็มทิศ สุดท้ายก็มาตกมาตายเอาตรงที่ตรงกดที่ปุ่มข้างๆ ตรงตำแหน่ง 3 นาฬิกาเพื่อเข้าสู่โหมดนี้ก่อน โดยที่ในตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นแค่ตัวเซ็นเซอร์ เพราะดันลืมสังเกตลูกศรที่อยู่บน Bezel ว่ามันมีความหมายว่าอะไร

เมื่อเปรียบเทียบกับ Protrek ต้องบอกว่า อ่านยาก แต่ก็ไม่ถึงกับยากมาก เพราะอย่างแรก ด้วยความที่มันจะต้องแบ่งหน้าจอออกเป็นส่วนๆ สำหรับแสดงเวลาและตัวนับวินาทีก็เลยทำให้การแสดงผลอาจจะเล็กกว่าที่คุณมองได้จาก Protrek ที่เป็นหน้าจอดิจิตอลขนาดใหญ่ สำหรับคนหนุ่มๆ ที่สายตายังไม่ยาว ตรงนี้ก็ไม่น่าจะใช้ปัญหาอะไร เพราะยังไงผมว่ายังใช้ง่ายกว่า Mudmaster เสียอีก

ส่วนในเรื่องความเที่ยงตรงและแม่นยำของฟังก์ชั่นใช้งาน ต้องบอกว่าค่าความคลาดเคลื่อนที่ได้จาก Rangeman มีปรากฎให้เห็นบ้าง โดยเฉพาะพวกอุณหภูมิ ซึ่งอาจจะต้องถอดออกจากข้อมือมาวางแล้ววัดเอา รวมถึงการวัดระดับความสูงที่อ้างอิงจากความกดอากาศก็อาจจะมีค่าความเพี้ยนมากไม่มากก็น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับพวก Outdoor watch ราคาแพงๆ ทั้งหลาย

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างชอบสำหรับการแบ่งสัดส่วนในการแสดงผลบนหน้าจอของ Rangeman คือ มันมีตัววัดความกดอากาศมาให้ด้วยเป็นกราฟในลักษณะพล็อตจุดเหมือนกับที่เคยเจอใน Riseman โดยคุณสามารถกดเลือกพื้นที่ตรงนี้ให้แสดง Day หรือกราฟก็ได้

ในแง่ของภาพรวมแล้ว ต้องบอกว่าเป็น G-Shock ที่ครบเครื่องรุ่นหนึ่งเท่าที่มีขายอยู่ในตลาด และกับราคาที่มียืดหยุ่นตามทางเลือกในตลาด คุณจะพบว่าของใหม่นั้นมีให้เลือกตั้งแต่ 7,000 ขึ้นไปจนถึง 8,000 บาทสำหรับรุ่นสายเรซินธรรมดา หรือถ้าจะขยับไปจับตัว JDM ที่เป็นของหิ้ว ราคาก็มีทั้งแต่ 9,000 ปลายไปจนถึงหมื่นนิดๆ ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงนั้นตลาดมีของมากน้อยแค่ไหน

เอาเป็นว่าถ้าคุณชอบ G-Shock นี่คืออีกทางเลือกที่ไม่ควรหลุดออกจากกรุ

คุณสมบัติของ : Casio G-Shock GW9400-1DR 

  • ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง : 55.2 มิลลิเมตร
  • Lug-to-Lug : 53.5 มิลลิเมตร
  • หนา : 18.2 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก : 93 กรัม
  • กระจก : Mineral Glass
  • กลไก : Module 3410 Multiband 6
  • แหล่งพลังงาน : Rechargable Battery-Tough Solar
  • ข้อดี : ครบเครื่อง เปี่ยมด้วยฟังก์ชั่นเท่าที่ Protrek มี ขนาดตัวเรือนกำลังดี ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไปสำหรับคนข้อมือ 7 นิ้ว
  • ข้อเสีย : ตัวรัดสายเป็นเหล็ก ทำให้กลัวเป็นรอย

Fanpage : https://www.facebook.com/anadigiwatch/