มาแล้วสำหรับคนชอบของหนักอย่างโลหะกับครั้งแรกของรุ่น DW5000 ที่หันมาใช้ตัวเรือนแบบโลหะ พร้อมระบบ Bluetooth โดยมีจำหน่ายกับรุ่น GMW-B5000 แบบพื้นฐาน และอีก 2 รุ่นสำหรับรุ่นพิเศษ และผลิตจำกัด โดยมีอีก 1 เป็นรุ่น Limited ผลิตร่วมกับ Kolor
Casio G-Shock GMW-B5000 ย้อนยุคบนตัวเรือนโลหะ
- ครั้งแรกของตระกูล 5000 ที่มากับตัวเรือนโลหะ
- Casio Connected พร้อมระบบ Bluetooth Low Energy
- เริ่มขายเดือนพฤษภาคม สตาร์ทที่ 500 เหรียญสหรัฐฯ
ถ้าไม่นับการเปิดตัว Rangeman ใหม่ ดูเหมือนว่านาฬิกาจาก Casio G-Shock ที่อยู่ในกระแสความสนใจของบรรดาแฟนๆ ทั่วโลก น่าจะเป็นโมเดล GMW-B5000 ซึ่งนอกจากจะเป็นการคืนชีพความคลาสสิคของนาฬิกาที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของชื่อ G-Shock ในปี 1983 อย่าง DW5000 แล้ว ยังถือเป็นครั้งแรกสำหรับซีรีส์นี้ที่มีการนำโลหะมาใช้ในการผลิตตัวเรือน แถมยังเพิ่มความไฮเทคด้วยการใช้เทคโนโลยี Bluetooth สำหรับเชื่อมต่อ Application ในสมาร์ทโฟนตามคอนเซ็ปต์ Casio Connected
งานนี้ถือเป็นการขยายขอบเขตของแนวทางในการนำเสนอผลผลิตใหม่ออกสู่ตลาดภายใต้แนวคิด Full Metal 5000 Collection เพราะนอกจากตัวเรือนที่ใช้โลหะแล้ว สายก็ยังเป็นแบบโลหะด้วยเช่นกัน (ยกเว้นรุ่น GMW-B5000-1 ที่เป็นเรซิน) ซึ่งจากการเปิดเผยของ Casio นั้น มีน้ำหนักอยู่ที่ 167 กรัม ขณะที่รุ่นตัวเรือนเหล็กแต่สายเรซินอย่าง GMW-B5000-1 มีน้ำหนัก 96 กรัม
รุ่นที่จำหน่ายมีด้วยกัน 4 รุ่นย่อย (ไม่นับรวม Limited Edition ที่เปิดตัวออกมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน) โดย GMW-B5000 มีขนาดตัวเรือนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันที่ 43.2 มิลลิเมตร และ Lug-to-Lug 49.3 มิลลิเมตร โดยที่หนา 13.0 มิลลิเมตร
รุ่น | สาย | พื้นผิว | หน้าจอ |
GMW-B5000D-1 | สแตนเลส สตีล | ไม่ระบุ | ธรรมดา |
GMW-B5000-1 | เรซิน | ไม่ระบุ | Negative |
GMW-B5000TFG-9 | สแตนเลส สตีล | IP (สีทอง) | ธรรมดา |
GMW-B5000TFC-1 | สแตนเลส สตีล | DLC | ธรรมดา |
ตัวโครงสร้างนาฬิกามาพร้อมกับระบบป้องกันแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนที่ยอดเยี่ยมตามแบบฉบับของ G-Shock โดยภายในตัวเรือนจะมีการติดตั้งชุดเรซินแทรกกลางระหว่างตัวเรือนและขอบ Bezel ที่เป็นสแตนเลสสตีล เพื่อทำหน้าที่ในการดูดซับและกระจายแรงกระแทก ทุกรุ่นมากับโมดุลที่มีทั้งระบบ Multiband 6 ระบบชาร์จพลังผ่านแสงอาทิตย์ หรือ Tough Solar และฟังก์ชั่นอื่นๆ เหมือนกับ G-Shock ทั่วไป แต่ที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาคือตัวนาฬิกาสามารถปรับภาษาของวันที่ หรือ Day of week ได้ 6 ภาษา คือ อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน อิตาลี และรัสเซีย
ในทั้ง 4 รุ่นนี้มีรุ่น GMW-B5000TFG-9 สีทองที่เป็นเวอร์ชันพิเศษจากการผลิตมาเพื่อรองรับกับการฉลองครบรอบ 35 ปีของ G-Shock โดยเฉพาะ ทั้งแพ็คเกจและฝาหลังที่เหมือนกับเวอร์ชันฉลอง 35 ปี ขณะที่รุ่น GMW-B5000TFC-1 เป็นการทำงานร่วมกับ Yoshida&Co.,Ltd. ผลิตเพียง 500 เรือนออกสู่ตลาด และมาพร้อมกับแพ็คเกจพิเศษที่ออกแบบโดย Yoshida&Co.,Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระเป๋ายี่ห้อ Porter และมีฝาหลังแบบเดียวกับรุ่นฉลอง 35 ปี
นอกจากนั้น Casio ยังผลิตอีกเวอร์ชันพิเศษที่เรียกว่า GMW-B5000KL ออกมาขายอีกด้วย ผลิตเพียง 700 เรือนเพื่อออกขายในตลาดทั่วโลก และเป็นการทำงานร่วมกับ Kolor แบรนด์แฟชั่นของญี่ปุ่นที่ก่อตั้งเมื่อปี 2004 โดย Junichi Abe โดยจะมากับตัวเรือนสีทอง IP และสายเรซินสีดำ ซึ่งด้านหลังจะมากับฝาหลังแบบพิเศษที่นอกจากจะมีโลโก้ของ 35 ปีแล้วยังมีโลโก้ของ Kolor รวมอยู่ด้วยเป็น “35th Anniversary by Kolor”
สำหรับราคาของ G-Shock GMW-B5000 จะเริ่มขายในญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคมนี้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 500 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 15,000 บาท ส่วนรุ่นพิเศษจะเริ่มต้นที่ราคา 600 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 18,000
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigiwatch/