หลังจากเปิดตัวออกสู่ตลาดมาร่วม 2 ปีพร้อมกับดันกระแสให้คนหันกลับมามอง G-Shock กันอีกครั้ง คราวนี้ GA-2110 มากับคอลเล็กชั่นที่เรียกว่า Earth Color Tone Series
และรุ่นที่ดูเรียบๆ อย่าง GA-2110ET-8A กลับสวยและมีพลังดึงดูดให้เสียเงินอย่างไม่น่าเชื่อ

Casio G-Shock GA-2110ET-8A สีเรียบง่ายแต่โดดเด่นเกินคาด
-
นาฬิกาจากคอลเล็กชั่น Earth Color Tone Series
-
มากับตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมขนาด 4 มิลลิเมตร พร้อมโมดุล 2 ระบบ
-
ราคาป้าย 4,500 บาท
ยอมรับเลยว่าในแต่ละช่วงเวลา Casio (คาสิโอ) มักจะมี G-Shock ที่สามารถสร้างกระแสและทำให้ลูกค้ามี ‘ของเล่น’ ที่มีความต่อเนื่อง ยุคต้นทศวรรษ 2010 พวกเขาก็มี GA-110 และมาถึงช่วงปลายทศวรรษ ถ้าให้ผมนึกเร็วๆ ตำแหน่งนี้คงต้องยกให้กับ GA–2100 หรือ GA–2110 ที่ในปัจจุบันถูกขนานนามว่า CasiOak…ตรงนี้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ผมตัดสินใจซื้อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกรุมากเท่ากับปัจจัยในด้านความสวยและลงตัวของโทนสีในคอลเล็กชั่น ET หรือ Earth Color Tone Series ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของ GA-2110ET-8A ที่พวกเขาเพิ่งเปิดตัวขายในเมืองไทยเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ผมเฝ้ามอง GA–2100 มาตั้งแต่ตอนเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2019 และตอนนั้นหลายคนบอกว่ามันจะดัง ซึ่งส่วนตัว ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะปัจจัยที่จะทำให้ G-Shock รุ่นใดรุ่นหนึ่งเกิดเป็นกระแสขึ้นมาได้ นอกจากตัวนาฬิกาเองแล้ว มันจะต้องมีส่วนประกอบอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะการเป็น ‘ของเล่น’ เข้ามาด้วยเหมือนกับอย่างที่ GA-110 เคยทำให้เห็นมาแล้ว
จนกระทั่งใครสักคนปลุกกระแสในการเป็น CasiOak ขึ้นมานั่นแหละ…
บอกก่อนว่าด้วยรูปทรงแปดเหลี่ยมหรือ Octagon เหมือนกับพวก DW5000C รุ่นแรกๆ ไม่ใช่งานใหม่ที่ Casio นำมาใช้กับ GA-2100/GA-2110 เพราะในขบวนนาฬิกาทรงย้อนยุคที่เปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 2018 Casio นำแนวคิดนี้มาตีความใหม่ และนำเสนอออกมาอย่างต่อเนื่องหลายรุ่น โดย GA-2100 ก็เป็นหนึ่งในนั้น

และไอ้รูปทรงที่เป็นแปดเหลี่ยมนี่แหละมันดันไปคล้องเอากับ Royal Oak นาฬิการุ่นดังและเป็น Iconic ของ Audermars Piquet เข้า เมื่อบวกกับการเป็นนาฬิกาเข็ม (รุ่นอื่นๆ เป็นดิจิตอล) ก็เลยทำให้นักโมฯ หัวใสผลิตชุดแต่งด้วยกรอบและสายสตีลที่เหมือนกับ Royal Oak ออกมาขาย (นี่คืออีก 1 ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมความนิยม) มันก็เลยทำให้ GA-2100 กลายเป็นต้องการของตลาดอยู่พักหนึ่งชนิดที่ทำเอาซัพพลายขาดตลาด และราคาขยับขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานนับสมัยรุ่งเรืองของ GA-110
แต่เอาเถอะ ผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไรหรอก ที่ชอบเพราะตัวนาฬิกา และที่ทำให้ชอบมากขึ้นก็คือ การให้โทนสี โดยเฉพาะ Earth Color Tone Series ที่ผมเห็นครั้งแรกจากเว็บต่างประเทศในช่วงปลายปี 2020 คอลเล็กชั่นนี้มีออกมาขาย 2 รุ่นคือ GA-2110-8A ในสีเทา และ GA-2110-2A ในแบบทูโทนสีน้ำเงิน-เทา ซึ่งคงไม่ต้องบอกนะว่าผมเล็งตัวไหนเอาไว้
อย่างไรก็ตาม คำถามแรกที่หลายคนอาจจะสงสัยว่า GA–2100 กับ GA–2110 มันต่างกันอย่างไร ?
ในช่วงแรกของการเปิดตัวนาฬิการุ่นนี้จะใช้รหัส GA-2100 แต่สำหรับต้นปี 2020 จะมีอีกซีรีส์หนึ่งส่งมาขายนั่นคือ GA-2110 ที่รูปทรงเหมือนกันทุกประการ แต่ต่างกันตรงที่กรอบตัวเรือนแบบใหม่ที่เป็นแบบหล่อ 2 ชั้น หรือ Dual-Molded Process แยกขอบตัวเรือนหรือ Bezel จากตัวเรือนหลัก ทำให้ส่วนใหญ่แล้วในรุ่น GA-2110 จะใช้ตัวเรือนสีหนึ่งและขอบตัวเรือนอีกสีหนึ่ง ต่างจาก GA-2100 ที่มาในแบบสีเดียวกันเพราะตัวเรือนและขอบตัวเรือนต้องหล่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน แน่นอนว่า GA-2110ET-8A ก็เป็นเช่นเดียวกับGA-2110 รุ่นอื่นๆ เพราะตัวเรือนเป็นสีเทาอ่อน ส่วนกรอบตัวเรือนเป็นสีเทาเข้ม
GA–2100 และ GA-2110 ถือเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่มาจากแนวคิด Carbon Core Guard หรือโครงสร้างป้องกันแกนกลางที่ทำจากคาร์บอน โดยโครงสร้างป้องกันแกนกลางที่ทำจากคาร์บอนแบบใหม่ปกป้องโมดูลโดยการห่อหุ้มโมดูลไว้ในตัวเรือนคาร์บอน ตัวเรือนผลิตขึ้นจากเรซินชั้นดีที่แทรกด้วยชั้นคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อความแข็งแกร่ง ทนทานต่อการแตก และความคงทนในการใช้งานที่เหนือกว่า ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้คนสะสม G-Shock เกิดความหวังว่า ตัวเรือนนาฬิกาจะไม่กรอบหรือพังในระหว่างที่พวกเขาสะสมในระยะยาว
ในแง่ของตัวนาฬิกา ถ้าดูในเชิงของตัวเลขขนาดแล้ว ถ้าไม่คิดว่านี่คือ G-Shock แล้ว GA-2110 คือ นาฬิกา Oversized ดีๆ นี่เอง เพราะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 45.4 มิลลิเมตร Lug to Lug ยาวถึง 48 มิลลิเมตร และหนา 11.8 มิลลิเมตร แต่สำหรับผมแล้ว ด้วยเหตุที่เป็น G-Shock ตัวเลขที่เห็นก็เลยดูเล็กไปในบัดดล
ถ้าเปรียบเทียบกับนาฬิการูปทรงทั่วไปแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นนาฬิกาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือนประมาณ 40 มิลลิเมตร แต่ยังดีที่รูปทรงนาฬิกาออกแนวทรงเหลี่ยม ขนาดก็เลยยังดูลงตัว ไม่เล็กเกินไปแม้จะอยู่บนข้อมือแบนๆ แบบ 7 นิ้วของผม เรียกว่าเป็นนาฬิกา Unisex ที่เหมาะทั้งผู้ชายข้อมือปานกลาง กับสาวๆ ข้อมือเล็กหรือข้อมือใหญ่ที่ชอบใส่นาฬิกาแบบล้นๆ
และตอนที่ทาบครั้งแรกแล้วรู้สึกเล็กผมคงต้องบอกว่าให้โอกาสและเวลากับมันหน่อย เพราะตอนที่ผมไปซื้อก็สวมนาฬิกานักบินไซส์ 47 มิลลิเมตรไปลอง ดังนั้น การปรับความรู้สึกก็เลยช้าไปหน่อย ซึ่งตอนนี้สวมมา 2 วันแล้ว ต้องบอกว่าเริ่มคุ้นเคยและดูรับกับข้อมือของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างชอบสำหรับ GA-2110ET-8A คือ การใช้สายที่มีสีเดียวกับตัวเรือน เช่นเดียวกับตัวรัดสายและบัคเคิล ซึ่งบัคเคิลแม้ว่าจะเป็นพลาสติกที่อาจจะเสี่ยงต่อความเสียหายในอนาคตเพราะยังไงความทนทานก็สู้บัคเคิลที่เป็นโลหะเหมือนกับ GA-2100 ไม่ได้ แต่การที่ Casio ย้อมนาฬิกาทั้งเรือนให้เห็นสีเดียวกันแล้ว กลับทำให้ผมยอมมองข้ามข้อด้อยตรงนี้ไปเพื่อแลกกับความสวยและลงตัวที่เกิดขึ้น
Casio ใช้สีเดียวอย่างเทา แต่สร้างความแตกต่างและความสวยให้เกิดขึ้นด้วยการเล่นโทนเข้ม-อ่อน ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนักที่ Casio จะทำเช่นนี้ เพราะตามปกติพวกเขามักจะเลือกใช้คู่สีที่ตัดกันสำหรับนาฬิกาแบบทูโทน…นี่คือจุดแรกที่ผมชอบมากในตอนแรกที่เห็น
อย่างที่ 2 คือ พวกเขาเลือกใช้หน้าจอแบบปกติ (สักที) ไม่ใช่พวก Negative สีดำ หรือใช้ฟิล์มย้อมเพื่อให้ได้โทนสีเดียวกับตัวเรือน และถือเป็นไม่กี่รุ่นจนเรียกว่าเป็นประชากรส่วนน้อยของ GA-2100 และ GA-2110 ที่ใช้หน้าจอแบบนี้ ซึ่งมันทำ GA-2110ET-8A ลงตัวอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมานั่นคือ การใช้สปริงบาร์แบบ Quick Change สำหรับยึดสาย ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจการใช้ส่วนประกอบนี้ เพราะตามเป้าประสงค์ของการออกแบบสปริงบาร์แบบนี้คือ การไม่ต้องใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการเปลี่ยนสาย แค่ดันสลักที่เหมือนกับสลักล็อกประตู เท่านี้สายก็หลุดออกมาแล้ว
แต่ประเด็นคือ ตรงหัวสายของนาฬิกาส่วนใหญ่ของ G-Shock จะมีความหนาและทำเป็นแกนยกสูงขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เอาไว้ค้ำหัวสายกับฝาหลังเพื่อให้ตัวสายมีการคงตัวเอาไว้และไม่เกิดช่องว่างระห่างหัวสายและตัวเรือนนาฬิกาเมื่อมองจากข้างนอก ซึ่งตรงนี้แหละทำให้เกิดปัญหาสำหรับสปริงบาร์แบบ Quick Change เพราะแกนยกสูงตรงนี้มีความหนา
และแม้ว่า Casio จะเจาะช่องให้เห็นตัวหัวสลักสำหรับดันเพื่อปลดสาย แต่เรากลับไม่สามารถใช้เล็บหรือนิ้วมือแหย่ลงไปจัดการตรงนี้ ต้องหาอะไรที่เล็กและแหลม ซึ่งสุดท้ายก็คือ เราก็ต้องใช้ไขควงสำหรับไขน็อตแว่นตาหแย่ลงไปเพื่อดันสลักอยู่ดี
ถ้าตัดเรื่องที่บ่นข้างบนออกไป ผมเชื่อว่าอีกเรื่องที่น่าจะทำให้คนซื้อรู้สึกชะงัก (ซึ่งผมก็เช่นเดียวกัน) คือ ราคา เพราะตามป้าย GA-2110ET-8A เปิดตัวออกมาที่ 4,500 บาท ซึ่งถือว่าแพงเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น DW-5600 หรือ DW-6900 ที่เป็นนาฬิกาเรือนใหญ่กว่า (ซึ่งจะต้องใช้วัสดุมากกว่าถ้ามองในแง่ของการใช้ทรัพยากร) หรือพวกนาฬิกาย้อนยุคที่ออกมาด้วยคอนเซ็ปต์เดียวกันอย่าง DW-5900 หรือ DW-5750
แต่ผมคงต้องบอกอย่างนี้ว่าอย่าไปเปรียบเทียบกับกับพวกนาฬิกา Single System Module อย่างพวกใช้เข็มหรือหน้าจออย่างใดอย่างหนึ่งบอกเวลา เพราะนี่คือนาฬิกาแบบ Double System Module หรือ Analog-Digital ยังไงต้นทุนของโมดุล 5611 ในการผลิตก็น่าจะแพงกว่าพวกระบบเดียวอยู่แล้ว ในกรณีที่เปรียบเทียบกับการมีฟังก์ชั่นในระดับเดียวกัน และถ้าอยู่ในระดับราคาที่รับได้ แต่หน้าตาถูกใจผมว่ามันคือความลงตัวในแง่ของการสร้างแรงบวกสำหรับการตัดสินใจซื้อ
การมีหน้าจอดิจิตอลเล็กๆ ที่ถูกจัดวางอย่างลงตัวในแง่ของเลย์เอาท์ด้วยการวางอยู่บนตำแหน่งควอเตอร์ที่ 2 ของหน้าปัดนั้น ลงตัวและสร้างบาลานซ์บนหน้าปัดได้เป็นอย่างดี เพราะอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นหน้าปัดย่อยของการแสดงวันประจำสัปดาห์ หรือ Day ด้วยการใช้เข็มชี้แถมเป็นเข็มแบบตีกลับหรือ Retrograde (ถ้าจะให้บอกตามแนวคิดของกลไกแบบจักรกล)
แถมในแง่ของการใช้งานนั้น หน้าจอตรงนี้ยังช่วยเพิ่มประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทาง เพราะตัวนาฬิกาสามารถแปลงร่างเป็น GMT Watch ได้ ซึ่งเมื่อคุณกดปุ่มในตำแหน่ง 8 นาฬิกา หรือปุ่ม Mode การแสดงข้อมูลบนหน้าจอดิจิตอลจะสามารถเปลี่ยนจากการแสดง Day/Date มาเป็นเวลาที่ 2 ซึ่งคุณเลือกเอาไว้ในโหมด Worldtime ทำให้สามารถรู้ทั้ง Local Time และ Home Time บนหน้าปัดเดียวกัน โดยไม่ต้องกดไปมาให้วุ่นวาย
แต่ถ้าอยู่ในโหมดปกติ ซึ่งก็คือ Timekeeping เมื่อกดปุ่มในตำแหน่ง 4 นาฬิกา คุณจะสามารถเปลี่ยนข้อมูลบนหน้าจอนี้จากการแสดง Day/Date มาเป็นการแสดงเวลาในตอนนั้นด้วยรูปแบบตัวเลขดิจิตอลแทน
ส่วนการส่องสว่างนั้นถ้าเป็นส่วนหน้าจอจะเป็นงานของหลอด LED แต่ถ้าคุณไม่กดเปิดไฟ ก็เป็นหน้าที่ของพรายน้ำที่เรียกว่า NEObrite ของ Casio ซึ่งในตอนนี้ผมบอกว่าค่อนข้างทำหน้าที่ในการเก็บและคายแสงได้ดีขึ้นกว่านาฬิกาเข็มยุคแรกๆ ของพวกเขา อาจจะไม่ถึงกับไวและสว่างแบบตาบอดเหมือนกับของ Seiko แต่ก็อยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว
โดยสรุป Casio G-Shock GA-2110ET-8A ไม่ทำให้ผมผิดหวังสำหรับดีลในครั้งนี้ครับ แม้ว่าราคาที่จ่ายไปจะสูงกว่าราคาที่ผมสามารถหาได้จากช่องทางออนไลน์ก็ตาม
ข้อมูลทางเทคนิค : Casio G-Shock GA-2110ET-8A
- เส้นผ่านศูนย์กลาง : 45.4 มิลลิเมตร
- Lug to Lug : 48 มิลลิเมตร
- ความหนา : 11.8 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือนและสาย : เรซิน
- โครงสร้างตัวเรือน : Carbon Core Guard
- โมดุล : 5611
- ความเที่ยงตรง : +/-15 วินาที
- ปฏิทินอัตโนมัติ : ถึงปี 2099
- แบตเตอรี่ : SR726W 2 ก้อน มีอายุการใช้งาน 3 ปี
- ระดับการกันน้ำ : 200 เมตร
- ประทับใจ : สีสัน รูปทรง และความสามารถในการใช้งานเชิง GMT
- ไม่ประทับใจ : ไม่มี
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/