หลังจากที่ทำตลาดด้วยรุ่นพิเศษอยู่พักใหญ่ ในตอนนี้คอลเล็กชั่น Premier ได้กลายมาเป็นคอลเล็กชั่นหลักของแบรนด์ Breitling แล้ว และในครั้งนี้มีการเปิดตัวรุ่นตัวเรือน 42 มิลลิเมตรพร้อมกับปรับปรุงหน้าปัดใหม่ เช่นเดียวกับสีสันที่มีให้เลือกถึง 5 สี โดยจะมีจำหน่ายทั้งตัวเรือนสตีล และ Red Gold
Breitling Premier B01 42 Chronograph เปลี่ยนหน้าปัดใหม่พร้อมทางเลือกหลากหลาย
-
เปลี่ยนหน้าปัดใหม่ให้รุ่น 42 มิลลิเมตรด้วยดีไซน์และแนวทางที่คล้ายกับรุ่น 40 มิลลิเมตรเดิม
-
มีสีหน้าปัดให้เลือกถึง 5 สีและรุ่นที่ผลิตด้วยตัวเรือนและสายจาก Red Gold
-
ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติจับเวลา B01 ที่มีกำลังสำรอง 70 ชั่วโมง
นาฬิกาสุดคลาสสิคของ Breitling ที่เคยโลดแล่นอยู่ในตลาดเมื่อ 80 ปีที่แล้ว ได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชั่นหลัก และครั้งนี้ทางแบรนด์ได้เปิดตัวรุ่นใหม่กับตัวเรือนไซส์ 42 มิลลิเมตรของรุ่น Chronograph ที่มาพร้อมกับหน้าปัดและเข็มชุดใหม่ พร้อมทางเลือกของสีสันบนหน้าปัดที่หลากหลายมากขึ้น
สำหรับชื่อ Premier ไม่ใช่ของใหม่ และต้องย้อนกลับไปในปี 1943 เลย Breilting ให้กำเนิดชื่อนี้ขึ้นมาหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรปสงบลง เป็นนาฬิการะดับหรูที่เปี่ยมด้วยคุณภาพในการผลิต และกลไกระดับสูง ก่อนที่ Breitling จะนำชื่อนี้กลับมาอีกครั้งในช่วงปี 2020 ในรูปแบบของนาฬิกาที่ผลิตแบบ Limited edition ก่อนที่จะกลายมาเป็นรุ่นหลักของแบรนด์ในเวลาต่อมา
ณ ตอนนี้ ต้องบอกว่า Premier และ Toptime ที่ถือเป็นนาฬิการุ่นใหม่ต่างกลายเป็นคอลเล็กชั่นหลักของ Breitling ไปแล้ว และเมื่อดูการแบ่งประเภทของคอลเล็กชั่นที่มีอยู่ซึ่ง Brietling แยกออกเป็น 3 ส่วนคือ Air Sea และ Land นั้น ทั้งคู่อยู่ในกลุ่มของ Land
Premier ที่ทำตลาดในตอนนี้มีทั้งรุ่น 3 เข็ม รุ่น Chronograph รุ่น Duograph และรุ่น Datora ที่จะมีความแตกต่างทั้งในแง่ของกลไกและขนาดตัวเรือน ส่วนที่เห็นอยู่นี้ถือเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของรุ่น Chronograph กับขนาดตัวเรือน 42 มิลลิเมตร พร้อมหน้าปัดสีใหม่โดยรุ่นที่ทำตลาดทั้งหมดแบ่งตัวเรือนและสาย 2 แบบตามวัสดุ คือ สแตนเลสสตีล ซึ่งจะมีทั้งหมด 5 สีหน้าปัดกับ 2 ประเภทสาย คือ สายหนังจนระเข้ราคา 327,700 บาท และสายสตีลแบบ 7 แถวราคา 340,500 บาท และแบ่งเป็น
- หน้าปัดดำสายหนังในรหัส Ref. AB0145221B1P1
- หน้าปัดดำสายสตีลในรหัส Ref. AB0145221B1A1
- หน้าปัดน้ำเงินสายหนังในรหัส Ref. AB0145171C1P1
- หน้าปัดน้ำเงินสายสตีลในรหัส Ref. AB0145171C1A1
- หน้าปัดขาวสายหนังในรหัส Ref. AB0145211G1P1
- หน้าปัดขาวสายสตีลในรหัส Ref. AB0145211G1A1
- หน้าปัดส้มสายหนังในรหัส Ref. AB0145331K1P1
- หน้าปัดส้มสายสตีลในรหัส Ref. AB0145331K1A1
- หน้าปัดเขียวสายหนังในรหัส Ref. AB0145371L1P1
- หน้าปัดเขียวสายสตีลในรหัส Ref. AB0145371L1A1
ส่วนอีกรุ่นจะเป็นตัวเรือนและสายที่ผลิตจากทองคำ Red Gold 18k มี 2 รุ่นย่อยคือ
- สายหนังในรหัส Ref. RB0145371G1P1 ราคา 727,300 บาท
- สายโลหะที่ผลิตจาก Red Gold มีรหัส Ref.RB0145371G1R1 ราคา 1,426,400 บาท
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ การใช้หน้าปัดแบบใหม่ โดยตามปกติแล้วในรุ่น Chronograph เวอร์ชันเก่าจะมีตัวเรือนทั้ง 40 และ 42 มิลลิเมตรจำหน่ายอยู่ในตลาด และวิธีแยกความแตกต่างในกรณีที่ไม่สามารถแยกได้ด้วยสายตาจากการพิจารณาขนาดตัวเรือน
คือ รายละเอียดที่อยู่บนหน้าปัด ซึ่งในรุ่น 42 มิลลิเมตรจะใช้หลักชั่วโมงแบบแท่ง และเข็มวินาทีใหญ่ของระบบจับเวลาจะมีปลายหางเป็นทรงพุ่ม ต่างจากรุ่น 40 มิลลิเมตรที่หน้าปัดใช้ตัวเลขอาระบิกแทนหลักชั่วโมง และมีปลายหางเป็นแบบห่วงกลม ซึ่งเป็นสไตล์เดียวกับรุ่น Duograph และ Datora
แต่คราวนี้ไซส์ 42 มิลลิเมตรของรุ่น Chronograph จะมีการเปลี่ยนใหม่ โดยใช้หน้าปัดที่เป็นหลักชั่วโมงตัวเลขอาระบิก และเข็มวินาทีหลักของระบบจับเวลาเป็นแบบปลายหางที่เป็นห่วงกลม
ในแง่ของภาพรวมของดีไซน์ ถือว่าสวยและลงตัวมากโดยเฉพาะคนที่ชอบนาฬิกาจับเวลาแบบ Bi-Compax หรือแบบ 2 วง ซึ่งเป็นอะไรที่สวยและลงตัวมาก Breitling เลือกใช้ตัว Pusher หรือปุ่มกดในระบบจับเวลาเป็นแบบแท่งสี่เหลี่ยม ซึ่งเข้ากับตัวเรือนเป็นอย่างดี
บนหน้าปัด ตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกาคือ พื้นที่ของหน้าปัดย่อยของระบบจับเวลา ดังนั้นเหลือเพียงไม่กี่ตำแหน่งแล้วที่จะเป็นช่องหน้าต่าง และ Breitling เลือก 6 นาฬิกาซึ่งเป็นจุดที่สมดุลที่สุด วงย่อยมีการเซาะร่องลงไปทำให้ดูมีมิติมากขึ้น
ตัวเลขบนหน้าปัดที่ถูกใช้ในเกือบทุกตำแหน่งบนหลักชั่วโมงบวกกับชุดเข็มทรงไซริง และขอบนอกหน้าปัดที่มีสเกล Tachymeter ช่วยทำให้ตัวนาฬิกามีกลิ่นอายที่สะท้อนถึงอารมณ์ย้อนยุคขึ้นมาซึ่งผสมผสานกับการออกแบบสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว และอีกสิ่งที่ Breitling ทำได้ดีเสมอไม่ว่าจะเป็นนาฬิการุ่นไหนก็ตาม คือ การเลือกใช้กระจกและการเคลือบสารลดการสะท้อนแสงทั้ง 2 ฝั่งของกระจกชนิดจนมีความใสที่ทำให้มีความรู้สึกว่าเหมือนไม่มีกระจกมากั้นกลางระหว่างผู้สวมใส่กับรายละเอียดที่อยู่บนหน้าปัดเลย
ในรุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ Beitling 01 หรือ B01 ถูกนำมาประจำการในนาฬิกาเรือนนี้ ซึ่งกลไกรุ่นนี้เป็น In-House มีกำลังสำรอง 70 ชั่วโมง และมาพร้อมกับฟังก์ชั่นจับเวลาสูงสุด 30 นาที และจับได้ละเอียดถึง ¼ วินาที Breitling ใช้ระบบคอลัมน์วีลและเวอร์ติคัลคลัตช์ในการควบคุมการทำงานของปุ่มจับเวลา ดังนั้น จึงให้ความนุ่มนวลในการกด Start/Stop หรือ Reset เช่นเดียวกับการให้ความเที่ยงตรงของการจับเวลามากขึ้นกว่าระบบปกติ ที่สำคัญ กลไกนี้ผ่านการรับรองความเที่ยงตรงจาก COSC จนได้มาตรฐาน Chronometer
สำหรับแฟนๆ ของ Breitling ที่กำลังมองหานาฬิกาสปอร์ตที่มีกลิ่นอายย้อนยุคและมีหน้าปัดรวมถึงดีไซน์ที่แฝงด้วยความเป็นเดรสส์ Breitling Premier B01 42 Chronograph ถือเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจ และใครที่พร้อมก็ลุยกันได้เลยเพราะเปิดตัวและเริ่มทำตลาดแล้ว
ข้อมูลทางเทคนิค : Breitling Premier B01 42 Chronograph
- เส้นผ่านศูนย์กลาง: 42 มิลลิเมตร
- ความหนา : 13.6 มิลลิเมตร
- Lug to Lug : 50 มิลลิเมตร
- ความกว้างขาสาย : 22 มิลลิเมตร
- กระจก: Sapphire เคลือบสารกันการสะท้อนแสง
- วัสดุตัวเรือน: สแตนเลสสตีล / Red Gold
- กลไก: Beitling 01 อัตโนมัติ จับเวลา Chronometer
- ความถี่ : 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง
- กำลังสำรอง : 70 ชั่วโมง
- การกันน้ำ: 100 เมตร
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline