หลากรุ่นใหม่จาก Audemars Piguet ฉลอง 50 ปีของ Royal Oak

0

Audemars Piguet เผยโฉมนาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ ทั้ง Royal Oak Selfwinding (รอยัล โอ๊ค เซลฟ์ไวนด์ดิ้ง) กลไกแสดงเวลาแบบชั่วโมง นาที วินาที และวันที่ ในขนาดหน้าปัด 37 มิลลิเมตร และ Royal Oak Selfwinding Chronograph (รอยัล โอ๊ค เซลฟ์ไวนด์ดิ้ง โครโนกราฟ) ขนาด 38 และ 41 มิลลิเมตร ที่จะวางจำหน่ายตลอดปี 2022 นี้

- Advertisement -

Audemars Piguet

หลากรุ่นใหม่จาก Audemars Piguet ฉลอง 50 ปีของ Royal Oak

Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) เผยโฉมนาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ ทั้ง Royal Oak Selfwinding (รอยัล โอ๊ค เซลฟ์ไวนด์ดิ้ง) และ Royal Oak Selfwinding Chronograph (รอยัล โอ๊ค เซลฟ์ไวนด์ดิ้ง โครโนกราฟ) ที่จะวางจำหน่ายตลอดปี 2022 นี้ ถึงแม้จะยังคงไว้ซึ่งสุนทรียะแบบดั้งเดิมของ Royal Oak ที่ออกแบบโดย Gérald Genta (เจอรัล เจนตา) แต่ในโมเดลใหม่นี้ยังนำเสนอพัฒนาการใหม่ของตัวเรือน สายนาฬิกา และดีไซน์ของหน้าปัดที่มีความร่วมสมัยยิ่งขึ้น

Audemars Piguet ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาทั้งดีไซน์และเทคนิคงานฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น เพิ่มความพิเศษยิ่งขึ้นด้วย “50-years” Oscillating weight ที่ผสานงานสร้างสรรค์แบบดั้งเดิมและเทคโนโลยีล้ำสมัย เหล่านาฬิกาโมเดลใหม่นี้จะสร้างความประทับใจให้กับผู้คนที่หลงใหลในดีไซน์ดั้งเดิมของรอยัล โอ๊คจากปี 1972 ซึ่งจะมีโมเดลในขนาด 34 และ 41 มม. ที่จะเปิดตัวเพิ่มเติมในครึ่งปีหลังอีกด้วย

ตัวเรือนและสายนาฬิกาที่พัฒนาเพื่อตอบรับกับสรีระข้อมือ

Audemars Piguet ได้ปรับเปลี่ยนตัวเรือนของโมเดลใหม่เล็กน้อยเพื่อการบอกเวลาที่ชัดเจนขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งสุนทรียะแบบดั้งเดิมของ Royal Oak  เหลี่ยมมุมบริเวณส่วนบนและล่างของตัวเรือนถูกทำให้ใหญ่ขึ้น ดีเทลพื้นผิวที่ขัดลายซาตินและการขัดเหลี่ยมมุมโดดเด่นยิ่งขึ้นเมื่อกระทบกับแสง พร้อมมอบดีไซน์ที่เพรียวบางมากขึ้น อีกทั้งฝาหลังยังเชื่อมกับตัวเรือนได้อย่างกลมกลืนเพื่อให้รับกับสรีระข้อมือและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้สวมใส่ยิ่งขึ้น

เพื่อเน้นย้ำถึงดีไซน์ตัวเรือนแบบใหม่ ข้อต่อของสายนาฬิกา 4 ข้อแรกถูกออกแบบให้งุ้มเข้าและไม่ขนานกันเพื่อลดความหนาและทำให้ตัวเชื่อมข้อต่อเห็นได้ชัดขึ้น ซึ่งข้อต่อก็ถูกออกแบบให้บางและมีน้ำหนักเบา เพื่อความสะดวกสบายในการสวมใส่ ซึ่งดีไซน์สายนี้ได้เปิดตัวครั้งแรกในนาฬิกา Royal Oak โมเดลรังสรรค์ด้วยทองเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในครั้งนี้ถือเป็นการนำเสนอบนแมททีเรียลสแตนเลส สตีล (Stainless steel)  และไทเทเนียม (Titanium)

ดีไซน์หน้าปัดที่ปรับใช้กับนาฬิกาหลากหลายโมเดล

เครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงทรงเหลี่ยมถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของ Royal Oak ในปีนี้ช่างฝีมือจากเมืองเลอ บราซูส์ ได้ปรับขนาดของเครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงและเข็มนาฬิกาให้สอดคล้องกันในทุกโมเดล ทุกขนาดและวัสดุโดยยังคงไว้ซึ่งสุนทรียะแบบดั้งเดิม สัดส่วนของเครื่องหมายบอกหลักชั่วโมงถูกเซ็ตมาตรฐานเดียวกันทั้งในรุ่น Selfwinding Chronograph และ Selfwinding แสดงเวลาแบบชั่วโมง นาที วินาที และวันที่ ถึงแม้จะมีขนาดหน้าปัดที่ต่างกัน

อีกทั้งโลโก้ได้มีการปรับจากการใช้อักษรย่อ AP และการพิมพ์ชื่อ “AUDEMARS PIGUET” เป็นการใช้
โลโก้โอเดอมาร์ ปีเกต์ที่รังสรรค์จากทองปั๊มนูน บริเวณ 12 นาฬิกา ซึ่งถูกปรับใช้กับนาฬิกา Royal Oak โมเดลสำหรับวาระครบรอบ 50 ปี การใช้โลโก้แบบนี้เริ่มต้นมาจากคอลเลกชั่น Code 11.59 by Audemars Piguet (โค้ด 11.59 บาย โอเดอมาร์ ปิเกต์)

โดยเริ่มจากการสร้างแผ่นทอง 24 กะรัตและนำไปผ่านเทคนิค Galvanic growth (กัลวานิค โกรท) กรรมวิธีทางเคมีที่ได้ผลแบบการพิมพ์ 3 มิติ ตัวอักษรแต่ละตัวถูกเชื่อมกันด้วยข้อต่อขนาดเท่าเส้นผม และถูกนำไปวางบนหน้าปัดด้วยมือและยึดไว้ด้วยขาเล็กๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เทคนิคนี้ใช้เวลาถึง 3 ปีในการพัฒนา ด้วยความยาวของโลโก้ และสำหรับเรือนเวลา Royal Oak โมเดลใหม่ เพิ่มความท้าทายยิ่งขึ้นด้วยการสร้างโลโก้ไซส์ใหม่สำหรับนาฬิกา ขนาดหน้าปัด 34 และ 37 มิลลิเมตร เนื่องจากในโมเดล ขนาด 41 มิลลิเมตร สามารถใช้โลโก้แบบเดียวกับรุ่น Code 11.59 by Audemars Piguet ได้ ซึ่งช่างเทคนิคและช่างฝีมือต้องได้ทดลองอย่างหลากหลายก่อนจะสรุปสัดส่วนสุดท้าย

เครื่องหมายบอกหลักนาทีที่ในอดีตใช้การพิมพ์ลงบนชิ้นส่วนด้านนอก แต่ในรุ่น Selfwinding นี้ใช้การพิมพ์โดยตรงลงบนหน้าปัด Tapisserie (ทาพิสเซอรี) และมีความท้าทายอย่างมากด้วยลวดลายของหน้าปัดสไตล์ Guilloché (กิโยเช่)

การกลับมาของสี Bleu Nuit, Nuage 50 แบบต้นตำหรับ

อิงจากโมเดลดั้งเดิมในปี 1972 นาฬิกาหลายโมเดลได้นำสีไอคอนิค อย่างสีน้ำเงิน Bleu Nuit, Nuage 50 หรือที่เรียกว่าสี “Night blue, Cloud 50” ทั้งในหน้าปัดลวดลาย Petite Tapisserie (เปอตีต์ ทาพิสเซอรี) และ Grande Tapisserie (กรองด์ ทาพิสเซอรี)

หน้าปัดสี Bleu Nuit, Nuage 50 ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Stern Frères (สเติร์น เฟรเรส) ผู้ผลิตหน้าปัดที่มีชื่อเสียงจากเมืองเจนีวา โดยเฉดสีน้ำเงินนั้นเกิดเทคนิคกัลวานิค บาธ (Galvanic bath) ที่ต้องให้ความสำคัญกับส่วนผสมของน้ำยา รวมถึงระยะเวลาและอุณหภูมิที่พอดี หากช่างนำหน้าปัดออกจากน้ำยาเร็วเกินไปเฉดจะเป็นสีม่วง และหากช้าเกินไปก็จะเป็นสีดำ หลังจากนั้นจะเคลือบด้วยสารที่ผสมกับสีดำเล็กน้อย (สี n° 50) โดยคำว่า “Nuage” มากจากเอฟเฟกต์คล้ายเมฆของสีดำที่หยดลงไปในสารเคลือบ

ในปัจจุบัน สี Bleu Nuit, Nuage 50 ถูกผลิตโดยการเคลือบแบบ PVD (Physical Vapor Deposition) เพื่อให้ได้สีที่เป็นเนื้อเดียวกันทั้งคอลเลกชั่น ในเรือนเวลาคอลเลกชั่นใหม่นี้ ยังนำอีกหนึ่งดีเทลอันเป็นเอกลักษณ์ของ Royal Oak อย่างหน้าปัดทาพิสเซอรีสไตล์กิโยเช่ (Guilloché) นาฬิกา

ในปี 2022 Royal Oak ขนาดหน้าปัด 34 37 38 และ 41 มิลลิเมตร ถูกออกแบบโดยใช้หน้าปัดลาย Grande Tapisserie ที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนโดยอาศัยทักษะความรู้ที่ในปัจจุบันไม่มีการสอนในโรงเรียนสอนช่างทำนาฬิกาอีกแล้ว โดยวิธีการรังสรรค์เริ่มจากการสร้างพีระมิดยอดตัดฐานสี่เหลี่ยมขนาดเล็กจำนวนหลายร้อยชิ้นด้วยการสลักลงบนแผ่นโลหะสำหรับหน้าปัดนาฬิกาผ่านเครื่องกิโยเช่แบบดั้งเดิมที่จะทำการสร้างรอยลึกของรูปทรงพีระมิดซ้ำๆ จนเกิดเป็นลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดหลายหมื่นชิ้น มาพร้อมด้านทั้ง 4 ที่กระทบกับแสง ราวกับเป็นช่องเล็กๆ ที่แบ่งสี่เหลี่ยมพีระมิดอย่างไร้รอยต่อจนเกิดเป็นลวดลาย Tapisserie กระบวนการนี้นับว่าต้องใช้ความคล่องแคล่วและแม่นยำอย่างสูง

Audemars Piguet ตัดสินใจที่จะนำสุนทรียะของหน้าปัดลาย Petite Tapisserie กลับมาใช้ เมื่อปี 1998 ในแบบที่นุ่มนวล ทำให้อ่านเวลาได้ง่ายขึ้น และมีลาย Tapisserie ที่กว้างขึ้น แต่ยังใช้วิธีการผลิตแบบเดิม ขนาดฐานพีระมิดยอดตัดถูกสร้างให้ใหญ่ขึ้นเท่าตัว ซึ่งเป็นการลดจำนวนพีระมิดลงจากประมาณ 700 ชิ้นเหลือเพียง 380 ชิ้น ในหน้าปัดนาฬิกา Royal Oak “Jumbo” ขนาด 39 มิลลิเมตร และในปีต่อมา ได้นำเสนอนาฬิกาอีก 3 โมเดลที่ใช้หน้าปัด Grande Tapisserie ด้วยความสำเร็จที่เห็นได้จากการใช้หน้าปัดนี้ในนาฬิกา Royal Oak ปี 2000 เกือบทุกโมเดล จนถึงช่วงที่หยุดการใช้งานหน้าปัดเปอตีต์ ทาพิสเซอรี ช่วงก่อนเข้าสู่ปี 2012 ด้วยวาระครบรอบ 40 ของ Royal Oak

Oscillating weight พิเศษสำหรับวาระครบรอบ 50 ปีคอลเลกชั่นรอยัล โอ๊ค

นาฬิกา Royal Oak ที่จะลอนช์ในปี 2022 นี้ มาพร้อม Oscillating weight พิเศษสำหรับวาระครบรอบ 50 ปีของคอลเลกชั่นรอยัล โอ๊คที่รังสรรค์ขึ้นด้วยทอง 22 กะรัต พร้อมสัญลักษณ์ “50-years” และสลักโลโก้ Audemars Piguet  ซึ่งโทนสีของ Oscillating weight จะแมตช์กับสีของตัวเรือนแต่ละโมเดล พร้อมตกแต่งด้วยรายละเอียดของการขัดลายซาตินและการขัดเหลี่ยมมุมเช่นเดียวกับรายละเอียดของตัวเรือนด้วย Oscillating weight ที่รังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะชิ้นนี้ยังออกแบบให้ใช้กับนาฬิกา Royal Oak รุ่นครบรอบ  50 ปี ตลอดปี 2022 ยกเว้นในโมเดลโครโนกราฟ ขนาดหน้าปัด 38 มิลลิเมตร

คาลิเบอร์ที่ประณีตและมีประสิทธิภาพ

ในเรือนเวลา Royal Oak คอลเลกชั่นนี้ ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 3 แบบ รวมถึงคาลิเบอร์ 5900 กลไก Selfwinding ซึ่งแสดงเวลาแบบชั่วโมง นาที วินาที และวันที่ เปิดตัวครั้งแรกในปีนี้ ในนาฬิกา Royal Oak ขนาด 37 มิลลิเมตร โดยมาทดแทนคาลิเบอร์ 3120 ซึ่งกลไกใหม่นี้มีความบางกว่า (3.9 มิลลิเมตร เทียบกับรุ่นเก่า 4.26มิลลิเมตร) และมาพร้อมความถี่ที่สูงขึ้นจาก 3 Hz เป็น 4 Hz ทั้งยังมีความสามารถในการกักเก็บพลังงาน 60 ชั่วโมง แม้ไม่ได้สวมใส่บนข้อมือ

สำหรับคาลิเบอร์ 4401 ที่เปิดตัวในนาฬิกา Royal Oak ที่รังสรรค์จากทองครั้งแรก ในปี 2021 ในปีนี้ได้เปิดตัวในเรือนเวลา Royal Oak Selfwinding Chronograph ตัวเรือนสแตนเลส สตีล ขนาด 41 มิลลิเมตร กลไกแบบอิน-เฮาส์นี้ มาพร้อมฟังก์ชันฟลายแบ็ก (Flyback) ที่ช่วยในเรื่องความแม่นยำและระบบเปลี่ยนเวลาแบบรวดเร็ว พร้อมระบบคอลัมน์ วีล (Column wheel) และระบบคลัทช์แนวตั้ง (Vertical clutch system) ที่มีเฉพาะในนาฬิกาโครโนกราฟแบบไฮ-เอนท์ ด้วยความซับซ้อนของชิ้นส่วนต่างๆ กลไกใช้การตกแต่งแบบนาฬิกาชั้นสูง ทั้งลายวงโกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Côtes de Genève) การขัดลายซาติน

เทคนิคเซอร์คิวลาร์ เกรนิง (Circular graining) เทคนิคเซอร์คิวลาร์ ซาติน (Circular satin) และการขัดเหลี่ยมมุม ที่สามารถเห็นดีเทลทั้งหมดได้ผ่านฝาหลังแซฟไฟร์ โดยคาลิเบอร์ 5900 และ 4401 ที่ใช้ขับเคลื่อนเรือนเวลาโมเดล 15550 15551 26240 และ 26242 ยังมาพร้อม Oscillating weight สำหรับวาระครบรอบอีกด้วย

50 ปีแห่งการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด

นาฬิกา Royal Oak ได้รับการพัฒนานับครั้งไม่ถ้วนในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนกลายเป็นนาฬิกาไอคอนิค จากรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 1972 ออกแบบโดย Genta และวางจำหน่ายในช่วง 4 ปีแรกด้วยดีไซน์ที่รังสรรค์จากสแตนเลส สตีล (โมเดล 5402) ต่อมาในปี 1976 นาฬิกา Royal Oak สำหรับสุภาพสตรีเรือนแรกที่ออกแบบโดย Jacqueline Dimier (ฌาคลีน ดิมิเยร์) ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของนาฬิกาคอลเลกชั่นนี้ หลังจากนั้นคอลเลกชั่น Royal Oak ได้ขยายไปสู่โมเดลที่รังสรรค์ด้วยทอง ขนาดหน้าปัดไซส์ใหม่ และการใช้คาลิเบอร์ที่หลากหลาย ซึ่งในระยะเวลา 5 ปี (1977-1981) ได้สร้างสรรค์นาฬิกาถึง 27 โมเดล

ในปี 1978 ได้เริ่มมีการนำเสนอหน้าปัดและตัวเรือนประดับอัญมณีซึ่งเป็นการเริ่มต้นการพัฒนาและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ต่อมาในปี 1980 Audemars Piguet ได้นำเสนอเรือน Royal Oak ที่ไม่ได้ใช้หน้าปัดกิโยเช่เรือนแรกที่เป็นการออกแบบสำหรับนาฬิกาสตรีที่ช่วยเปิดทางให้การพัฒนากว้างยิ่งขึ้น และในปี 1992 นาฬิกา Royal Oak นำเสนอฝาหลังแซฟไฟร์ที่เปิดให้เห็นกลไกภายใน โดยเป็นการสร้างเทรนด์การสร้างสรรค์ของคอลเลกชั่นนี้ซึ่งยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

นับตั้งแต่ปี 1976 เรือนเวลารุ่น Royal Oak ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงเอกลักษณ์อันน่าจดจำไว้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนทรงถังเบียร์ (Tonneau Shape) ขอบตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยม สกรูหกเหลี่ยมแปดชิ้น ในการพัฒนาครั้งนี้สำหรับวาระครบรอบ 50 ปี เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ว่านาฬิการุ่นนี้ได้ผ่านมาแล้วหลากหลายยุคและเทรนด์ใน 50 ปีที่ผ่านมา และมีนาฬิกามากกว่า 500 โมเดลที่ถูกรังสรรค์ขึ้น

Royal Oak Selfwinding

ไซส์ 37 มม.

  • Ref. 15550SR.OO.1356SR.01 ราคา 26,500 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15550ST.OO.1356ST.01 หน้าปัดสีเงิน ราคา 21,500 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15550ST.OO.1356ST.02 หน้าปัดสีน้ำเงิน ราคา 21,500 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15550ST.OO.1356ST.03 หน้าปัดสีน้ำเทา ราคา 21,500 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15550ST.OO.1356ST.03 หน้าปัดสีฟ้า ราคา 21,500 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15551ST.ZZ.1356ST.01 หน้าปัดสีฟ้า ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 29,700 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15551ST.ZZ.1356ST.02 หน้าปัดสีน้ำเงิน ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 29,700 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15551ST.ZZ.1356ST.03 หน้าปัดสีเทา ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 29,700 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15551OR.ZZ.1356OR.01 ตัวเรือน Pink Gold หน้าปัดเงิน ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 54,000 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15551OR.ZZ.1356OR.02 ตัวเรือน Pink Gold หน้าปัดน้ำเงิน ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 54,000 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 15551OR.ZZ.1356OR.03 ตัวเรือน Pink Gold หน้าปัดเขียวกากี ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 54,000 ฟรังก์สวิสส์

Royal Oak Selfwinding Chronograph

ไซส์ 38 มม.

  • Ref. 26715ST.OO.1356ST.01 หน้าปัดน้ำเงิน ราคา 29,100 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26715ST.OO.1356ST.02 หน้าปัดเทา ราคา 29,100 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26715ST.ZZ.1356ST.01 หน้าปัดสีฟ้า ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 36,800 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26715OR.OO.1356OR.01 ตัวเรือนพิงค์โกลด์ หน้าปัดน้ำเงิน ราคา 57,700 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26715OR.ZZ.1356OR.01ตัวเรือนพิงค์โกลด์ ขอบตัวเรือนฝังเพชร ราคา 64,100 ฟรังก์สวิสส์

ไซส์ 41 มม.

  • Ref. 26240ST.OO.1320ST.01 หน้าปัดน้ำเงิน ราคา 30,300 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240ST.OO.1320ST.02 หน้าปัดดำ ราคา 30,300 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240ST.OO.1320ST.03 หน้าปัดเงิน ราคา 30,300 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240ST.OO.1320ST.04 หน้าปัดเขียวกากี ราคา 30,300 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240OR.OO.1320OR.01 ตัวเรือน-สายพิงค์โกลด์ หน้าปัดน้ำเงิน ราคา 64,600 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240OR.OO.1320OR.02 ตัวเรือน-สายพิงค์โกลด์ หน้าปัดดำ ราคา 64,600 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240OR.OO.1320OR.03 ตัวเรือน-สายพิงค์โกลด์ หน้าปัดเงิน ราคา 64,600 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240OR.OO.1320OR.04 ตัวเรือน-สายพิงค์โกลด์ หน้าปัดเขียวกากี ราคา 64,600 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240OR.OO.D315CR.01 ตัวเรือนพิงค์โกลด์ สายหนัง หน้าปัดน้ำเงิน ราคา 44,800 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240OR.OO.D404CR.01 ตัวเรือนพิงค์โกลด์ สายหนัง หน้าปัดเขียวกากี ราคา 44,800 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26240OR.OO.D002CR.01 ตัวเรือนพิงค์โกลด์ สายหนัง หน้าปัดดำ ราคา 44,800 ฟรังก์สวิสส์
  • Ref. 26242OR.ZZ.1322OR.01 ตัวเรือน-สายพิงค์โกลด์ ฝังเพชรทั้งเรือน   ราคาไม่ระบุ