4 เหตุผลที่คุณควรซื้อ Seiko SPB55J Zimbe Gen 4

0

ถ้าใครยังนึกไม่ออกว่าจะเสียเงินประมาณ 30,000 บาทนิดๆ เพื่อแลกกับการครอบครอง Seiko SPB55J หรือเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของ Zimbe ดีหรือไม่ วันนี้เรามีเหตุผลที่คิดว่าหนักแน่นพอที่จะง้างเงินออกจากกระเป๋าคุณได้อย่างแน่นอน

4 เหตุผลที่คุณควรซื้อ Seiko SPB55J Zimbe Gen 4
4 เหตุผลที่คุณควรซื้อ Seiko SPB55J Zimbe Gen 4

4 เหตุผลที่คุณควรซื้อ Seiko SPB55J Zimbe Gen 4

- Advertisement -

ตอนที่มีภาพของ Seiko SPB55J Zimbe Generation ที่ 4 หลุดออกมา ความคิดเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่ายทันที แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหนักไปทางการตั้งคำถามถึงเหตุผลในการจับคู่สี เพราะนานๆ ทีเราจะได้เห็น Seiko หันมาสนใจสีม่วง นับจากการเปิดตัว Limited Edition ของ Land Monster

แต่เอาเถอะถ้ามองข้ามเรื่องนี้ตรงนี้ไป สิงที่ตามมาคือ คำถามที่ว่า ‘มันน่าเก็บไหม ?’ คำตอบของเราคือ น่าเก็บ แต่ไม่ใช่ถึงกับเก็งกำไรแบบเหมามาตุน เพราะแม้ว่าหน้าตาจะไม่ค่อยโดนใจใครหลายคนเพราะสีสันบนตัวเรือน แต่ด้วยความที่เป็น Limited แบบมี Story และด้วยความเป็น Sumo นั่นทำให้เรามั่นใจว่า อย่างน้อยคุณคงไม่เจ็บตัวกับนาฬิกาเรือนนี้แน่ๆ

1.อนาคตด้านราคา : จริงอยู่ที่เรื่องของการเก็งราคาเป็นอะไรที่ยากพอสมควร เพราะก่อนยุคที่  Seiko  จะมาบูมเพราะมีการรวมตัวกันของคนรัก บรรดา  Limited ทั้งหลาย ทั้งโม่เหลือง โม่เขียว ต่างก็หมดไปจากตลาดนานแล้ว และจะมาเป็นที่ต้องการก็ตอนที่หลายๆ คนเริ่มหันมาคบกับ Seiko ก็เลยทำให้ต้องการเก็บเข้ากรุ แต่ถ้ามองในยุคของ Post SMT หรือ Seiko Mania Thailand ก็ต้องยอมรับว่าบรรดาโม่เต็ดทั้งหลายต่างแจ้งเกิดกันถ้วนหน้า และกลายเป็นที่ต้องการของตลาดจนราคาขึ้นเอาขึ้นเอา จะมีก็คือเคสของโม่เงินที่ King Power เป็นคนผลิต ซึ่งมีการระบายสต็อคจนทำให้ราคาหล่นวูบ แต่สุดท้ายเมื่อสต็อคถูกระบายจนเกลี้ยง ราคาก็กลับมาทะยานติดจรวดอีกครั้ง

สำหรับ Zimbe แม้ว่าสีของตัวเรือนอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคน แต่งานนี้ถ้าคิดที่จะเก็งกำไรในอนาคต ก็พอจะมีแนวโน้มว่า ราคาน่าจะขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่จะขึ้นมากขึ้นน้อยเท่านั้นเอง

ในกรณีของ SPB55J นั้น ราคาขาย ณ ตอนนี้ที่เราเห็นในหน้าเว็บคือ 30,000 บาท ต้นๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะเกลี้ยงไปแล้ว ส่วนราคาหักส่วนลดหน้าตู้มากสุดเท่าที่ได้รับการทาบทามจากคนขายคือ 10%  ส่วนโอกาสที่จะขึ้นก็คงจะมี เพียงแต่จะมากขนาดไหนและใช้เวลานานแค่ไหน คงต้องรอดูกันต่อไป ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอุปทานว่าจะหมดไปจากตลาดเร็วแค่ไหน และจะมีอุปสงค์มากจนเป็นกระแสเร็วแค่ไหนด้วยเช่นกัน

2.ต้องเก็บให้ครบ : อันนี้สำหรับคนที่มี Zimbe ตั้งแต่รุ่นแรก หรือเต่าอนันดา งานนี้คุณก็ต้องเดินหน้าลุยต่อไปกับเวอร์ชันที่ 4 เพื่อให้ครบคอลเล็กชั่น หรือถ้าคุณเป็น Sumo Mania รุ่นนี้ก็ไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน มันเหมือนกับไฟท์บังคับกลายๆ

3.ความพิเศษที่เหนือจากรุ่นปกติ : จริงอยู่ที่ Sumo Zimbe จะมีราคาหลังหักส่วนลดแล้วแพงกว่า Sumo รุ่นพื้นฐานร่วมๆ เท่าตัว โดยที่ยังใช้กลไกเดิม 6R15  แต่สิ่งที่คุณจะได้มานั้น นอกจากแพ็คเกจจิ้งที่สวยและอลังการขึ้น ก็ตามมาด้วย สเป็กที่ดีขึ้นอีกหน่อย ทั้งตัวเรือนรมดำแบบ Black IP Coating พร้อมกับชุด Bezel หน้าปัด และเข็มทั้ง 3 เข็มสีใหม่ กระจกหน้าปัดแบบ Sapphire พร้อมเลนส์นูน Cyclop ตรงช่องวันที่ ฝาหลังมีการสลักโลโก้ Zimbe พร้อมจำนวนเรือนที่ผลิตจาก 1,639 เรือนในคอลเล็กชั่นนี้ และที่ขาดไม่ได้คือสายยาง หรือ Rubber Band ที่ Seiko บอกว่ามีคุณภาพสูง

4.ความสวยงาม : ประเด็นนี้ถ้าเถียงกันให้ตายคงเหนื่อย เพื่อต่างคนต่างความคิดและรสนิยม แต่ถ้าถามผม เท่าที่ดูแล้ว ผมกลับชอบมากกว่า Sumo 50th ตัวเขียวเสียอีก การใช้สีม่วงผสมดำ และมีตัวเรือนสีดำ โดยมีสีน้ำเงินและทองแซมเข้ามาด้วยถือว่าลงตัวเลย เพียงแต่อาจจะดูแล้วเหมือนนาฬิกาวัยรุ่นมากกว่าเท่านั้นเอง และอีกประเด็นคือ อาจจะหาสายหนังสวยๆ ใส่จับคู่ยากหน่อยเพราะสีบนตัวเรือนมันหลากหลาย