ฉลอง 10 ปี Longines Legend Diver ด้วยสาย Milanese Mesh

0

10  ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว นาฬิกาในตระกูล Legend Diver ของแบรนด์ Longines เปิดตัวรุ่นพิเศษสายถักสแตนเลสที่เรียกว่า Milanese Mesh ออกมาเป็นอีกทางเลือกาสำหรับแฟนๆ ชาวไทยเพื่อฉลองวาระพิเศษนี้

ฉลอง 10 ปี Longines Legend Diver ด้วยสาย Milanese Mesh
ฉลอง 10 ปี Longines Legend Diver ด้วยสาย Milanese Mesh

ฉลอง 10 ปี Longines Legend Diver ด้วย Milanese Mesh

- Advertisement -

ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าคอลเล็กชั่นย้อนยุคอย่าง Legend Diver ของ Longines หรือที่นักเล่นนาฬิกาบ้านเราเรียกกันอย่างติดปากว่า LLD จะผ่านการทำตลาดมาแล้วถึง 10 ปี และในวาระพิเศษของความสำเร็จตรงนี้ได้นำไปสู่การเปิดตัวรุ่นพิเศษที่มาพร้อมกับสายถักพิเศษแบบ Milanese ซึ่งว่ากันว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของนาฬิกาจากสวิสส์ที่เราจะได้เห็นสายติดตัวเรือนมาจากโรงงานเป็นแบบนี้มากขึ้น

Legend Diver เป็นงาน Re-Issue มาจากนาฬิกาดำน้ำรุ่นคลาสสิคของ Longines  ที่โด่งดังในยุคทศวรรษที่ 1960 พร้อมกับการหยิบยืมเอาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของรุ่นดั้งเดิมมาแบบครบถ้วนแต่มีการปรับเปลี่ยนตามกาลเวลาเพื่อความเหมาะสม เช่น กระจกคริสตัสทรงโดซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดทางเทคโนโลยีของเรือนเวลาในยุคนั้น ก็ถูกเปลี่ยนเป็นกระจกแบบเดียวกันแต่ใช้ Sapphire ตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตรและใช้เม็ดมะยมแบบ Twin Crown ในตำแหน่ง 2 และ 4 นาฬิกา ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่ชาญฉลาด เพราะว่าเม็ดมะยมแบบขับเกลียวในตำแหน่ง 2  นาฬิกานั้นจะทำหน้าที่ควบคุมการหมุนของขอบ Inner Bezel ในการใช้ในการจับเวลา และลดความเสี่ยงในแง่ที่ว่าขอบ Bezel หมุนเองในระหว่างการใช้งาน

โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีดำเคลือบมัน มาพร้อมกับเครื่องหมายแสดงเวลา ตัวเลข และเข็มเคลือบสารเรืองแสงซุปเปอร์ลูมิโนวา เพื่อให้สามารถอ่านค่าเวลาได้ชัดเจน พร้อมฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกในการอ่านด้วย ตัวเลขบอกเวลาที่ตำแหน่ง 3, 6, 9 และ 12 บรรจุกลไกการทำงานอัตโนมัติ L633 ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากกลไก ETA 2824-2 เดินด้วยความถี่ระดับ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงานได้ 38 ชั่วโมง และฝาหลังสลักลายสำหรับนักดำน้ำ และมีประสิทธิภาพในการทนทานต่อแรงดันในระดับ 300 เมตร

สำหรับรุ่นพิเศษที่ถูกส่งเข้ามาขายในตลาดบ้านเรานั้นจะมาพร้อมกับสายถักแบบ Milanese ซึ่งเป็นสายถักที่ได้รับความนิยมอย่างมากในฐานะเครื่องประดับในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งชื่อที่ถูกตั้งขึ้นก็มีความหมายถึงเมือง Milan ในอิตาลีนั่นเอง และตรงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำรูปแบบของสายแบบนี้มาใช้กับตัวนาฬิกาในเวลาต่อมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความหรูหรา